การปลด สตีฟ บรูซ จากตำแหน่งเฮดโค้ช ไม่มีอะไรผิดไปจากที่คาดเอาไว้ อาจจะน่าแปลกใจนิดหน่อยที่การเปลี่ยนแปลงกว่าจะเกิดขึ้นต้องใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อได้เจ้าของใหม่ พับลิก อินเวสต์เมนท์ ฟันด์ หรือ พีไอเอฟ กลุ่มทุนสัญชาติซาอุดิอาราเบียที่มี โมฮัมหมัด บิน ซาลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ เป็นหัวเรือใหญ่ ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงสโมสรให้กลายเป็นรูปโฉมใหม่ในพริบตา
ดังนั้น ข้อแรกที่จะต้องทำ ก็คือการเปลี่ยนแปลงโค้ช
ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับความต้องการของแฟนๆ เดอะ แม็กพายส์ ที่เสียงส่วนใหญ่ รวมตัวกันขับไล่ บรูซ มานานแล้ว เช่นเดียวกับเจ้าของเก่า ไมค์ แอชลี่ย์ ที่กำลังนำพาสโมสรไปสู่ความตกต่ำ
แอชลี่ย์ มีความพยายามที่ขายสโมสรมานานแล้ว หรือนับตั้งแต่เทกโอเวอร์สโมสรได้ปีสองปีด้วยซ้ำ แต่ก็ดันยืนหยัดมาแบบกระท่อนกระแท่นยาวนานถึง 14 ปี
ขณะที่ บรูซ เข้ามาคุมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ด้วยโปรไฟล์ที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย แถมรูปแบบการเล่นกองหลัง 5 คนที่เน้นเกมรับแบบโงหัวไม่ขึ้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้แฟนๆ ไม่ค่อยได้แฮปปี้เลยตลอดเวลาสองปีเศษ
แฟนบอลส่วนใหญ่จึงออกมาเฉลิมฉลอง ประหนึ่งทีมประสบความสำเร็จบางอย่าง ภายหลังการเทกโอเวอร์ของเจ้าของใหม่ ไม่ใช่การพิศวาส มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ แต่พวกเขาแค่รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย เมื่อเห็น แอชลี่ย์ กับ บรูซ เดินออกจากสโมสรไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
ผลงานของ บรูซ กับ นิวคาสเซิ่ล ในช่วงเวลาสองปีเศษ การคุมทีม 97 เกม ชนะ 28 เสมอ 28 และแพ้ 41 ค่าเฉลี่ยการคว้าชัยชนะอยู่ที่ 28.9 เปอร์เซนต์ ยิงได้ 115 ประตู และเสีย 152 ประตู ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลขมาตรฐานของทีม ไม่ว่าใครจะเป็นเฮดโค้ชก็ตาม
เกมสุดท้ายของ บรูซ กับ นิวคาสเซิ่ล ที่แพ้คารัง เซนต์ เจมส์ พาร์ค ต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-3 ยังเป็นการคุมทีมเกมที่ 1,000 ของโค้ชชาวอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1998 ที่เริ่มต้นการคุมทีม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ต่อด้วย ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์, วีแกน แอธเลติก, คริสตัล พาเลซ, เบอร์มิงแฮม ซิตี้, วีแกน (รอบสอง), ซันเดอร์แลนด์, ฮัลล์ ซิตี้, แอสตัน วิลล่า, เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ มาจนถึง นิวคาสเซิ่ล
ผลงาน 1,000 เกม ชนะ 376 เสมอ 254 และแพ้ 370 ค่าเฉลี่ยชัยชนะอยู่ที่ 37.6 เปอร์เซนต์ ยิงได้ 1,256 ประตู เสีย 1,237 ประตู ตัวเลขค่อนข้างสูสี แต่ก็ยังอยู่ในแดนบวกมากกว่าแดนลบ
และเส้นทางการคุมทีมของโค้ชวัย 60 ปี อาจยุติลงในเกมที่ 1,000 เพราะแฟนบอล นิวคาสเซิ่ล
'ไอ้อ้วน', 'ไอ้งี่เง่า', 'ไอ้งั่ง' สารพัดคำด่าของแฟนๆ เดอะ แม็กพายส์ บางส่วน ถูกนำมาใช้เล่นงาน บรูซ
เป้าหมายอาจเป็นเพียงการกดดันให้ลาออก โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของทั้ง บรูซ และภรรยา เจเน็ท เป็นอย่างมาก
"ผมคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นงานชิ้นสุดท้ายของผม มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตัวผม แต่ยังส่งผลต่อทั้งครอบครัว เพราะพวกเขาเป็นชาวจอร์ดี้ทั้งหมด ผมไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องนั้นได้"
"พวกเขาเป็นห่วงผมมาก โดยเฉพาะ เจน ภรรยา เธอคือผู้หญิงที่น่าทึ่ง และวิเศษมากๆ เป็นทั้งภรรยา เป็นแม่ และเป็นคุณยายด้วย" บรูซ พูดถึงอนาคตของตัวเองกับบทบาทโค้ช
"ตอนที่ผมมาถึง นิวคาสเซิ่ล ผมคิดว่าผมจะสามารถรับมือกับเรื่องต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่ผมได้ แต่มันหนักมากๆ การไม่เคยเป็นที่ต้องการจริงๆ รู้สึกเหมือนว่าผู้คนต้องการให้ผมล้มเหลว"
"การได้อ่านข้อความที่บอกว่า ผมจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมมันไร้ค่า ไอ้อ้วน ไอ้งี่เง่า ไอ้งั่ง หรืออะไรสารพัด และมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่มาถึง"
"ตอนที่เรามีผลการแข่งขันที่ดี ก็กลายเป็น ใช่ แต่สไตล์การเล่นฟุตบอลของเรามันทุเรศมาก หรือผมมันแค่โชคดี แม้ผลการแข่งขันออกมาดีก็ตาม" บรูซตัดพ้อถึงช่วงเวลาสองปีเศษที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค
ถึงตอนนี้ บรูซ คงหยุดตัวเองจากงานผู้จัดการทีมอย่างไม่มีกำหนด หรืออาจจะรีไทร์เลยก็เป็นได้
แต่สำหรับสโมสร นิวคาสเซิ่ล ภาระกิจของเจ้าของใหม่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และดูเหมือนว่าการดำเนินการต่างๆ จะต้องตอบสนองความต้องการของแฟนบอลส่วนใหญ่ โปรไฟล์ของโค้ชใหม่ก็ต้องไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับการเสริมทัพ
พูดง่ายๆ ตอนนี้ แฟนบอล นิวคาสเซิ่ล 'ขึ้นแล้ว ลงยาก' มองเห็นทีมตัวเองเดินตามรอยเท้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ และด้วยความคาดหวังที่สูงปรี๊ด ก็ชักนำความกดดันให้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน