ผู้ท้าชิง : (คอลัมน์ เด็ก อม มือ โดย SuperAey)
คงไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ที่จะบอกว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นลีกที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็อย่างว่าฟุตบอลมีมากกว่านั้นอาจเคยถกเถียงกันอยู่ในบางครั้ง แต่คงไม่ใช่ในฤดูกาลนี้ ในความเป็นจริงพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อาจไม่ใช่ฤดูกาลที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า การแข่งขันซีซั่นนี้สูงใช่เล่นเลยทีเดียว
ไม่เพียง แต่การแข่งขันชิงตำแหน่งแชมป์เปี้ยนส์ เพราะปีนี้เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ดีที่สุดและใกล้ชิดกันมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในส่วนของการแข่งขันสำหรับสี่อันดับแรกก็มีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน และตอนนี้การแข่งขันเดินทางมาไกลถึงช่วงโค้งสุดท้าย เหลือเพียงไม่กี่เกมที่เหลืออยู่การแข่งขันทั้งหมดเหล่านั้นจะเป็นตัวชี้วัดตัดชะตา
ตารางคะแนนไม่เคยโกหกใคร สำหรับสถานการณ์ล่าสุดบนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หงส์แดง ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่นำเป็นจ่าฝูงเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่โปรแกรมการแข่งขันแข่งมากกว่า 1 นัด โดยตอนนี้ ลิเวอร์พูล แข่งไปแล้ว 33 เกม มี 82 คะแนน ทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แข่งไปแล้ว 32 เกม มี 80 คะแนน
5 นัดสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล โปรแกรมค่อนข้างอยู่ในระดับบกลาง ๆ ไม่หนักและไม่เบา เหย้า เชลซี, เยือน คาร์ดิฟฟ์, เหย้า ฮัดเดอร์สฟิลด์, เยือน นิวคาสเซิ่ล, และปิดท้ายซีซั่นด้วยการเปิดบ้านต้อนรับ วูล์ฟส์แฮมป์ตัน สำหรับเกมที่จะหนักหน่อยก็เห็นจะเป็นเกมกับ เชลซี แต่ยังดีที่ได้เล่นในบ้านแถมการเล่นในบ้านของ หงส์แดง ฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดี
ไอ้หนุ่ม นาบี เกอิต้า ที่เคยถูกคาดหวังมากที่สุด และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แฟนบอลผิดหวังมากที่สุดในฤดูกาลนี้ ก็กลับมาเล่นได้ในระดับที่พอมองเห็นอนาคต
โจ โกเมซ กองหลังที่ไม่มีใครคาดหวังตอนต้นฤดูกาลกลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมชนิดที่หากไม่เจ็บเสียก่อน เขาน่าจะเป็นกองหลังเบอร์ต้น ๆ ของ พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว ตอนนี้ก็กลับมามีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองอีกครั้ง ซึ่งมาได้ทันเวลา อีกคนที่รอลุ้นนั่นคือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน
เหนือสิ่งอื่นใด 3 ผสาน SMF ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ต่างเริ่มกลับคืนสู่ฟอร์มที่เคยทำให้พวกเขาเป็นสามผสานแนวรุกที่น่าเกรงขามที่สุดชุดหนึ่งของ อังกฤษ และยุโรป เมื่อปีที่แล้ว โดยเฉพาะ ซาลาห์ ที่ปลดล็อกยิงประตูให้ตัวเองหลังจากยิงไม่ได้ 8 เกมติดต่อกัน
ต่อจากนี้ สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ควรจะทำก็เห็นว่ามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการใส่ให้เต็มที่ เพื่อไม่ให้เหลืออะไรให้เสียใจอีก
ทางฝั่ง ซิตี้ เหลืออีก 6 นัด แถมยังมีโปรแกรมฟุตบอลถ้วยให้ลงแข่งขันแบบจุกจิก 2-3 รายการ ต่างจาก หงส์แดง ที่เหลือเพียง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก เท่านั้น สำหรับโปรแกรม 6 นัดของ แมนฯ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก เยือน คริสตัล พาเลซ, เหย้า สเปอร์ส, เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เยือน เบิร์นลีย์, เหย้า เลสเตอร์ ซิตี้, และปิดท้ายฤดูกาลด้วยการออกไปเยือน ไบร์ทตัน โปรแกรมถือว่าเขี่ยวใช้ได้ มีเกมที่มองแล้วเหนื่อยแน่นอนถึง 3 เกม คือ เหย้า สเปอร์ส, เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เหย้า เลสเตอร์ โดยเฉพาะเกมกับ เลสเตอร์ ที่ได้ เบรนดัน ร็อดเจอร์ส เข้ามาคุมทีมและทำผลงานได้ดีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แถม ร็อดเจอร์ส ยังมีข้อข้องใจที่ไม่สามารถส่ง ลิเวอร์พูล ทยานเป็นแชมป์ได้ เกมนี้นี่แหล่ะน่าจะสำคัญสุด ๆ
เป็นที่รู้กันดีว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดนี้ มีนักฟุตบอลที่สร้างสรรค์เกมและสร้างความแตกต่าง ให้เกมการแข่งขันได้มากที่สุด เหนือกว่านั้นคือ พวกเขามีประสบการณ์การลุ้นแชมป์ และมีผู้จัดการทีมที่เก่งกาจที่สุดในโลกในเวลานี้
คุณภาพนักเตะอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, ดาวิด ซิลบา, แบร์นาโด้ ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิง, เลอรอย ซาเน่, แฟร์นันดิญโญ่, กาเบรียล เฆซุส, และ เซอร์คิโอ อเกวโร่, เมื่อนักฟุตบอลเหล่านี้ถึงเวลาที่พวกเขา เอาจริง มันก็ยากที่ใครจะหยุดยั้งได้
อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวชี้วัดนั่นคือเส้นทางใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน ยิ่งไกลยิ่งล้า ยิงกดดัน โดยเฉพาะ หงส์แดง ที่ขุมกำลังมีอยู่อย่างจำกัด
แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ท้ายที่สุดแล้ว จะมีทีมเดียวทีสมหวัง และอีกทีมก้มหน้าผิดหวังไปตามระเบียบ
เพราะผู้ชนะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว !!
#SuperAey