การออกเดินทางครั้งใหม่ของ โจ ฮาร์ท ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ภายหลังการเซ็นสัญญากับ เบิร์นลี่ย์ ด้วยระยะเวลา 2 ปี ค่าตัวเบาๆ 3.5 ล้านปอนด์
ฮาร์ท ปิดฉากช่วงเวลา 12 ปีกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยความทรงจำที่ดี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฐานะมือ 1 ยุคของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ฤดูกาล 2011-12 และยุคของ มานูเอล เปเยกรินี่ ฤดูกาล 2013-14
เด็กหนุ่มจากทีมนอกลีก ชรูว์สบิวรี่ ทาวน์ ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในวัย 17 ปี และขยับขึ้นเป็นมือ 1 ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งตอนนั้นทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกทูแล้ว โดยลงเฝ้าเสาเกมลีกครบทุก 46 นัด ได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของลีกทูในฤดูกาล 2005-06
แน่นอน ด้วยวัย 19 ปี การคว้ารางวัลดังกล่าว บวกกับดีกรีทีมชาติอังกฤษชุดยู-19 ทำให้บรรดาโค้ชผู้รักษาประตูของทีมดังๆ พรีเมียร์ลีกทั้งหลายต่างแห่กันไปชมฝีไม้ลายมือ ก่อนจะเป็น ทิม ฟลาวเวอร์ส อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษ และมือ 1 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 1994-95 ที่ตอนนั้นทำหน้าที่โค้ชประตูของ เรือใบสีฟ้า รีบสะกิดบอกต้นสังกัดให้ซื้อ ฮาร์ท ไปร่วมทีม
ฤดูกาล 2006-07 สจ๊วร์ต เพียร์ซ กุนซือ ซิตี้ ต้องมองหามือ 1 คนใหม่หลังจากขาย เดวิด เจมส์ ไปให้ พอร์ทสมัธ จึงไปสอย อันเดรียส อิซัคส์สัน ประตูทีมชาติสวีเดน เข้ามาพร้อมๆ กับ ฮาร์ท ขณะเดียวกันก็ผลักดัน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วย
จากฟอร์มอันย่ำแย่ของ อิซัคส์สัน และ นิคกี้ วีฟเวอร์ ที่สลับกันลงเฝ้าเสา ทำให้ซีซั่นถัดมา ฮาร์ท ถูกเลือกเป็นมือ 1 คนใหม่ในวัย 20 ปี ภายใต้การคุมทีมปีแรกของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน และจากจุดนั้น ฮาร์ท ก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เรื่อยมา
ซิตี้ ค่อยๆ ขยับตัวเองจากทีมหนีตกชั้น มาเป็นทีมกลางตาราง และกลายเป็นทีมหัวตาราง เช่นเดียวกับฝีมือของ ฮาร์ท ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในยุคของ อีริคส์สัน, มาร์ค ฮิวจ์ส, มันชินี่ และ เปเยกรินี่ ที่มีแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 ครั้งร่วมกับ 2 คนหลัง
แต่พอถึงยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แล้ว การเริ่มต้นไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ จากฟอร์มที่ไม่แน่นอนของ ฮาร์ท ในศึกยูโร 2016
เป๊ป เข้ามาสร้างแนวทางการเล่นใหม่ๆ ให้ ซิตี้ โดยมองว่าการสร้างเกมรุกต้องเริ่มต้นตั้งแต่ผู้รักษาประตู ขณะเดียวกันเกมรับก็ต้องออกมาตัดบอลได้เหมือนกองหลังด้วย ตามแบบฉบับ 'สวีปเปอร์-คีปเปอร์'
ฮาร์ท ถูกเมินตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักกับ เป๊ป เลยด้วยซ้ำ จึงถือเป็นการจากกันที่ไม่สวยสักเท่าไหร่ เพราะตลอด 2 ปีที่ เป๊ป เป็นนายใหญ่ในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ฮาร์ท ได้ลงเฝ้าเสาในเกมอย่างเป็นทางการเพียงนัดเดียว คือเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ นัดสองกับ สเตอัว บูคาเรสต์ ที่ไม่มีผลอะไรแล้ว เพราะนัดแรกบุกถล่ม 5-0 โดยที่ เป๊ป เลือก วิลลี่ กาบาเยโร่ ลงเฝ้าเสา
จากนั้น ฮาร์ท ถูกปล่อยให้ โตริโน่ ยืมใช้งาน หลังจาก เป๊ป ดึง เคลาดิโอ บราโว่ เข้ามาเป็นมือ 1 และซีซั่นที่แล้วก็ไปอยู่กับ เวสต์แฮม ด้วยสัญญายืมตัวตลอดทั้งฤดูกาลเช่นกัน ซึ่งมือ 1 ซิตี้ ก็เปลี่ยนมือมาเป็น เอแดร์ซอน
การตัดสินใจเลือก เบิร์นลี่ย์ เป็นบ้านหลังใหม่ ถือเป็นความท้าทายที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสโมสรแห่งนี้มีสองผู้รักษาประตูตัวเลือกทีมชาติอังกฤษอยู่ทั้ง นิค โพ๊ป และ ทอม ฮีตัน ซึ่งทั้งคู่เขี่ย ฮาร์ท หลุดทัพ ทรี ไลออนส์ ชุดเวิลด์คัพ 2018 มาแล้ว ก่อนที่ ฮีตัน จะถูกตัดชื่อออกจากทีมชุด 23 คนสุดท้าย
ชอน ไดช์ ผู้จัดการทีม ต้องมองหาผู้รักษาประตูคนใหม่เข้ามาแก้ขัด จากการที่ โพ๊ป หัวไหล่หลุดจนต้องผ่าตัดพักยาวหลายเดือน จึงเหลือแค่ อันเดอร์ส ลินเดการ์ด มือ 3 เพียงคนเดียว ขณะที่ ฮีตัน อยู่ในช่วงเรียกความฟิตหลังหายบาดเจ็บกลับมา
จึงน่าคิดว่า หาก โพ๊ป หายเจ็บกลับมาแล้ว ฮาร์ท จะยืนอยู่ตรงจุดไหน แต่ด่านแรกเลยต้องเบียดแย่งมือ 1 กับ ฮีตัน ในช่วงต้นฤดูกาลให้ได้เสียก่อน
"มันอาจจะดูแปลกๆ ที่มีสามผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษอยู่ในแคมป์เดียวกัน โดยเฉพาะกับทีมอย่าง เบิร์นลี่ย์ แต่นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม และหลังจากได้คุยกับ โจ แล้ว ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเขาเช่นกัน"
"เขาลืมความผิดหวังทุกอย่าง และต้องการเดินหน้าต่อ ต้องการทำงาน เป็นส่วนหนึ่งของทีม และได้โอกาสลงเล่น เขารู้ว่าเขาจะต้องทำอย่างนั้น และรู้ว่าต้องร่วมงานกับผู้รักษาประตูฝีมือดี และโค้ชที่เก่งด้วย" ไดช์ เอ่ยถึงลูกทีมคนใหม่
หลังจากนี้ ชีวิตใหม่ของ ฮาร์ท จะต้องเจองานหนักรออยู่ แต่หากย้อนกลับไปดูสองปีที่ผ่านมาทั้งในสโมสรและทีมชาติ ถือว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วสำหรับ โจ ฮาร์ท