นับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2012 อินเตอร์ มิลาน ไม่เคยสัมผัสเกมแชมเปี้ยนส์ลีก จนกระทั่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ ซาน ซีโร่ นัดแรก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคาร
หลังจาก โชเซ่ มูรินโญ่ พา อินเตอร์ เถลิงแชมป์ยุโรปในฤดูกาล 2009-10 เนรัซซูร์รี่ ก็ค่อยๆ ใส่เกียร์ถอย จนถึงเกมที่เปิดรัง ซาน ซีโร่ ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 2-1 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2012
อินเตอร์ ชนะ แต่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย และนั่นคือเกมสุดท้ายในแชมเปี้ยนส์ลีกของทีมงูใหญ่เรื่อยมาจนถึงฤดูกาลนี้
การคว้าตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างเหลือเชื่อ จากการชนะ ลาซิโอ ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลเซเรียอา คือก้าวแรกของการกลับคืนสู่ค่ำคืนแห่งเกมยุโรป
ดังนั้นเกมกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม จึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับ อินเตอร์ มิลาน
การทำงานของ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ในถิ่น ซาน ซีโร่ ไม่เคยง่ายดาย นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามานั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้เมื่อปีที่แล้ว
และซีซั่นนี้ก็กำลังเผชิญมรสุมลูกใหญ่ หลังจากเปิด 4 นัดแรกเซเรียอา คว้าชัยชนะได้เพียงเกมเดียว ซ้ำร้ายในเกมล่าสุดยังพ่ายคาบ้านต่อทีมน้องใหม่ ปาร์ม่า 0-1
เพียงแค่ 4 นัด อินเตอร์ แทบปิดประตูลุ้นสคูเด็ตโต้ทันที เพราะมหาอำนาจเบอร์ 1 อย่าง ยูเวนตุส ยังไม่มีเพลี่ยงพล้ำ เก็บ 12 คะแนนเต็มจาก 4 นัดแรก
นั่นจึงเป็นที่มาของข่าวลือเรื่องการปลด สปัลเล็ตติ ตั้งแต่ต้นฤดูกาล โดยมี อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือ เชลซี ที่กำลังว่างงานอยู่ เป็นเป้าหมายอันดับ 1
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า ซูหนิง โฮลดิ้ง กรุ๊ป กลุ่มทุนจากจีน ที่เป็นเจ้าของสโมสร ยังคงให้โอกาสและให้เวลา สปัลเล็ตติ แต่หากประเดิมเกมยุโรปไม่สวย ทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างรวดเร็ว
เนรัซซูร์รี่ แสดงให้เห็นถึงปัญหาไม่ต่างจากเกมกับ ปาร์ม่า ทั้งเรื่องการต่อบอล การสร้างสรรค์โอกาส นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แทบไม่เห็นจังหวะจบสกอร์เลยตลอด 80 นาที
อย่างไรก็ตาม โอกาสแรกจากเท้า เมาโร อีการ์ดี้ กัปตันทีม แปรเปลี่ยนเป็นประตูตีเสมอในนาที 86 และลูกเตะมุมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก็ส่งให้ มาติอัส เวซิน่า สวมบทฮีโร่โหม่งประตูชัย
แน่นอนว่า ชัยชนะในค่ำคืนที่สุดแสนวิเศษของ อินเตอร์ มิลาน จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ทีมของ สปัลเล็ตติ พลิกสถานการณ์ในเซเรียอากลับมาได้ เพราะเส้นทางที่เหลือยังอีกยาวไกล
เช่นเดียวกับ เกมยุโรปใน 'กรุ๊ป ออฟ เดธ' ที่มีเกมกับ บาร์เซโลน่า และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น รออยู่