ครั้งหนึ่ง ศูนย์หน้าจาก คาร์ดิฟฟ์ เคยเข้าฟอร์มถึงขั้นถูกเรียกติดทัพ 'ทรี ไลออนส์' ทั้งที่เล่นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ
ประวัติชีวิตของ เจย์ โบธรอยด์ คงไม่ต่างอะไรกับนักเตะอังกฤษคนอื่นๆ นั่นคือการใฝ่ฝันได้เล่นในพรีเมียร์ลีก และเป้าหมายสูงสุดคือการติดทีมชาติอังกฤษ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ เมื่อคุณไปถึงจุดนั้นได้แล้ว คุณจะรักษาเอาไว้ได้นานแค่ไหน
เจย์ เกิดและเติบโตในเมืองอีสลิงตัน กรุงลอนดอน และก้าวเท้าเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของ อาร์เซน่อล สโมสรใหญ่ของประเทศ แต่ก็ขึ้นไม่ถึงชุดใหญ่ จนต้องอำลาไปอยู่ โคเวนทรี ซิตี้ ตอนอายุ 18
สามฤดูกาลใน ไฮฟิลด์ โร้ด เจย์ ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นดาวซัลโวของสโมสร ก่อนได้รับความสนใจจาก เปรูจา ทีมในเซเรียอาเวลานั้น และเซ็นฟรีเข้ารัง หลังหมดสัญญากับ โคเวนทรี
เจย์ ไม่ประสบความสำเร็จในอิตาลี จากการนั่งสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ และยิงได้เพียง 7 ประตูจาก 39 นัด จนต้องเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับ ชาร์ลตัน ก่อนไป วูลฟ์แฮมป์ตัน และสโมสรที่ปลุกเขาสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง คาร์ดิฟฟ์ ที่ตอนนั้นเล่นอยู่ในแชมเปี้ยนชิพ
12 ประตูในซีซั่นแรก 13 ประตูในซีซั่นสอง และ 15 ประตูจาก 16 นัดแรกในซีซั่นสาม ในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเศษๆ ทำให้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับ ฝรั่งเศส เดือนพฤศจิกายน ปี 2010
การเรียก เจย์ ติดทัพ สิงโตคำราม มาจากหลายเหตุผล นอกจากฟอร์มอันร้อนแรงแล้ว ยังเป็นเพราะศูนย์หน้าตัวเลือกหลายๆ คนนัดกันบาดเจ็บและฟอร์มตกด้วย
เจย์ จึงได้กลับมาสวมชุด ทรี ไลออนส์ อีกครั้ง หลังจากรับใช้ทีมชุดยู-21 หนสุดท้ายเมื่อ 9 ปีก่อน กลายเป็นนักเตะ คาร์ดิฟฟ์ คนแรกในรอบ 111 ปีที่ติดทีมชาติอังกฤษ และกลายเป็นนักเตะจากลีกรองคนแรกที่ติดทัพต่อจาก เดวิด นิวเจนท์ เมื่อ 3 ปีก่อนด้วย
เกมที่ เวมบลีย์ เจย์ ถูกเปลี่ยนลงไปแทน แอนดี้ แคร์โรลล์ ในนาที 72 ผลก็คือ อังกฤษ แพ้คาบ้านต่อ ฝรั่งเศส 1-2 และนั่นคือเกมแรกและเกมเดียวในนามทีมชาติของ เจย์ โบธรอยด์
เมื่อมองย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีต เจย์ ยอมรับว่าชีวิตนักฟุตบอลอาจขึ้นสูงกว่านี้ หากไม่ใช้ชีวิตและมีมุมมองแบบผิดๆ
"ผมมาจากย่านเสื่อมโทรมในอีสลิงตัน ผมเติบโตขึ้นมาท่ามกลางอาชญากรรมและความรุนแรงต่างๆ สำหรับผมแล้ว เป้าหมายของตัวเองคือการเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด ในพรีเมียร์ลีก เป็นตัวแทนของทีมชาติ และทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้"
"สำหรับผม ผมบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว แต่บางทีในเรื่องความสามารถ ผมไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทัศนคติของผม ตั้งแต่ตอนสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม"
"ผมมีทัศนคติแย่ๆ ผมไม่กลัวที่จะพูดเรื่องนั้นหรอก เมื่อคุณเติบโตขึ้น คุณปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิต และมองดูตัวเองให้มากขึ้น คุณก็จะเรียนรู้จากเรื่องนั้น"
"เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นอายุ 20 คุณมักจะโยนความผิดให้กับคนอื่นอยู่เสมอ แต่เมื่อคุณโตเป็นผู้ใหญ่ มองดูตัวเอง และประเมินตัวเองให้มากขึ้น คุณก็จะกลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้น และกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นด้วย"
ภายหลังการตัดสินใจผิดพลาดที่ย้ายไป ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส เจย์ ก็ออกผจญภัยสู่โลกกว้าง ร่วมทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด ในไทยลีก ก่อนย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น พา จูบิโล อิวาตะ เลื่อนชั้นสู่เจลีก ในฐานะดาวซัลโวเจทู ฤดูกาล 2015 ก่อนที่ปัจจุบันเป็นกำลังหลักของ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร
"เมื่อผมอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่นักเตะต่อยกันในสนามซ้อมบ้าง เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในยุโรปและในอังกฤษ แต่ถ้าเป็นที่นี่ คุณจะถูกไล่กลับบ้านทันที"
"เมาแล้วขับก็เหมือนกัน คุณจะไม่ได้เล่นฟุตบอลในประเทศนี้อีก แต่ในอังกฤษ คุณก็แค่เจอบทลงโทษ แต่คุณก็ยังสามารถลงเล่นได้ต่อในเกมวันเสาร์"
ถึงตอนนี้ เจย์ ในวัย 36 ปี ยังคงโลดแล่นในศึกเจลีกได้อย่างสบายๆ และเจ้าตัวก็ยังไม่มีแผนแขวนสตั๊ด โดยหวังเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือ 'แชมป์' ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับสโมสรใดเลย นอกเหนือจาก เอฟเอ ยูธ คัพ กับทีมเยาวชนของ อาร์เซน่อล