นับตั้งแต่หมดช่วงเวลาของ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงค์ ระหว่างปี 2000-2004 เชลซี ก็ไร้เพชรฆาตหมายเลข 9 แม้พยายามควานหามาตลอดก็ตาม
ฮัสเซลแบงค์ กระหน่ำ 88 ประตูจาก 177 นัดรวมทุกรายการกับ เชลซี ตลอด 4 ฤดูกาล (2000-01 26 ประตูจาก 41 นัด, 2001-02 29 ประตูจาก 48 นัด, 2002-03 15 ประตูจาก 44 นัด และ 2003-04 18 ประตูจาก 44 นัด) ที่เป็นตัวหลักของ เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ จนกลายเป็นขวัญใจแฟนๆ เดอะ บลูส์ มาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้น กุนซือแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่, อัฟราม แกรนท์, หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่, กุส ฮิดดิ้งค์, คาร์โล อันเชล็อตติ, อันเดร วิลลาช-โบอาช, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ, ราฟาเอล เบนิเตซ จนมาถึง อันโตนิโอ คอนเต้ ก็ยังไม่สามารถปั้นดาวยิงหมายเลข 9 มาประดับถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เลย
2004-05 มาเตย่า เคซมัน
105 ประตูจาก 122 นัดใน 4 ฤดูกาล เอเรดิวิซี่ เป็นตัวเลขที่น่าทึ่ง และเตะตา เชลซี ให้ดึงกองหน้าชาวเซิร์บวัยเบญจเพศมาร่วมทีมด้วยค่าตัวถูกแสนถูก 5.3 ล้านปอนด์ เพราะสัญญาใกล้หมดกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น จึงกลายเป็นความหวังใหม่ที่มาพร้อมผู้จัดการทีม โชเซ่ มูรินโญ่
แต่การเลือก เคซมัน สวมเสื้อหมายเลข 9 ต่อจาก ฮัสเซลแบงค์ ที่ย้ายไป มิดเดิลสโบรช์ ในปีนั้น กลายเป็นตัวเลือกที่ผิดของ เชลซี และ มูรินโญ่ เพราะมีเพียง 4 ประตูจาก 25 เกมพรีเมียร์ลีก (6 ตัวจริง กับ 19 ตัวสำรอง) ไม่อาจเบียดแย่งตำแหน่งจาก ดีดีเย่ร์ ดร็อกบา กับ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น
ผ่านไปฤดูกาลเดียว เชลซี ก็ตัดสินใจขายต่อ เคซมัน ไปให้ แอตเลติโก มาดริด ในราคาเดียวกับตอนที่ซื้อมาจาก พีเอสวี
2005-06 เอร์นาน เครสโป
อันที่จริงแล้ว เครสโป ย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน มาอยู่กับ เชลซี เมื่อปี 2003 ด้วยค่าตัว 16.8 ล้านปอนด์ แต่ 12 ประตูจาก 31 นัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการของกุนซือใหม่ มูรินโญ่ ที่เข้ามาคุมทีมในซีซั่นถัดมา จึงปล่อยตัวให้ เอซี มิลาน ยืมตลอดฤดูกาล 2004-05
เครสโป กลับสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฤดูกาล 2005-06 โดยเปลี่ยนเบอร์เสื้อจาก 21 มาสวมหมายเลข 9 แทนที่ เคซมัน ที่ย้ายออกไป แต่ผลงานของดาวยิงอาร์เจนไตน์ก็ยังไม่สามารถถล่มประตูได้เหมือนตอนอยู่ กัลโช่ เซเรีย อา มีเพียง 10 ประตูจาก 30 เกมพรีเมียร์ลีก (ตัวจริง 20 นัด กับ ตัวสำรอง 10 นัด)
จากนั้น เครสโป ถูกปล่อยตัวกลับไปให้ อินเตอร์ ยืมใช้งานถึงสองฤดูกาล ก่อนหมดสัญญาในปี 2008 และเซ็นฟรีกับ เนรัซซูรี่ อีกหนึ่งปี
2006-07 คาลิด บูลาห์รูซ
กองหลังชาวดัตช์ย้ายจาก ฮัมบูร์ก ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2006 พร้อมกับที่ มูรินโญ่ ได้ดาวยิงคนใหม่ อังเดร เชฟเชนโก้ มาจาก เอซี มิลาน ค่าตัวแตะหลัก 30 ล้านปอนด์ และ 'เชว่า' เลือกเสื้อเบอร์เก่งหมายเลข 7
บูลาห์รูซ ต้องทำให้แฟนๆ เชลซี ผิดหวังเพราะได้หมายเลข 9 ไปครอบครอง ด้วยเหตุผลที่ว่าในตอนที่เซ็นสัญญากันนั้น ไม่มีเบอร์ว่างเลย จึงต้องยกเบอร์ของ เครสโป ที่ปล่อยยืมไป อินเตอร์ ให้ใช้แทน
แต่มาเล่นแค่ซีซั่นเดียว กองหลังที่เล่นได้ทั้งแบ็กขวาและเซนเตอร์แบ็กก็ถูกปล่อยให้ เซบีย่า ยืมก่อนจะขายขาดให้ สตุ๊ตการ์ท ในฤดูกาลถัดมา
2007-08 สตีฟ ซิดเวลล์
หมายเลข 9 ของ เชลซี เริ่มสูญเสียความขลังมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกองกลางชาวอังกฤษย้ายมาจาก เร้ดดิ้ง และเลือกใช้เบอร์อันศักดิ์สิทธิ์ต่อจาก บูลาห์รูซ
ซิดเวลล์ เป็นตัวหลักของ เร้ดดิ้ง มาตลอด 4 ฤดูกาล และมีส่วนสำคัญในการพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ก่อนหมดสัญญาและถูก เชลซี ดึงมาร่วมทัพแบบฟรีๆ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แฟนๆ เชลซี ยังคงตั้งคำถามกับการเซ็นสัญญา ซิดเวลล์ ที่ลงตัวจริง 13 นัด และตัวสำรอง 12 นัด ยิงได้ 1 ประตู ในฤดูกาลแรก และเป็นซีซั่นเดียวในชุด สิงโตน้ำเงิน
2008-09 ฟรังโก ดิ ซานโต
หลังจากลองผิดลองถูกมาเยอะ ทั้งจ่ายหนักก็แล้ว ทั้งเซ็นฟรีก็แล้ว เชลซี จึงลองออกหาของป่า จนไปเจอกองหน้าอาร์เจนไตน์จากสโมสร เอาดักซ์ อิตาเลียโน่ ในลีกชิลี ที่จ่ายเพียง 3.4 ล้านปอนด์ เข้ามาเป็นกองหน้าหมายเลข 9 คนใหม่
แต่ปรากฏว่าอาการหนักกว่าเดิม ตลอด 16 นัดในฤดูกาลแรก ดิ ซานโต คลำเป้าไม่เจอเลยจากการลงสำรองทั้ง 16 เกม จึงต้องปล่อยให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ยืมใช้งานซีซั่นต่อมา และผลงานก็ทุเรศทุรังพอกัน ตลอด 24 เกมทั้งซีซั่น มีเพียงประตูเดียว
สุดท้าย เชลซี ต้องปล่อย ดิ ซานโต ไปให้ วีแกน ในอีกสองปีต่อมา ด้วยค่าตัว 2 ล้านปอนด์ และระเห็จไปบุนเดสลีกาในปี 2013
2011-14 เฟร์นานโด ตอร์เรส
หลังจากปล่อยเบอร์ 9 ให้ว่างเปล่าในฤดูกาล 2009-10 ในที่สุด เชลซี ก็สร้างปรากฏการณ์ในช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวปี 2011 ด้วยการสอยดาวยิงทีมชาติสเปนมาจาก ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ที่เป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ
ตอร์เรส เข้ามาแบกความหวังมหาศาลบนบ่าตัวเองเพราะค่าตัวมหาศาล ท่ามกลางการจับจ้องของแฟนๆ เชลซี ที่ต้องช็อกตาตั้ง เพราะกลายเป็นคนละคนกับตอนสวมชุด ลิเวอร์พูล
ประตูเดียวจาก 14 เกมพรีเมียร์ลีกซีซั่นแรก (ครึ่งฤดูกาลหลัง) จากนั้น 6 ประตูจาก 32 เกมซีซั่น 2011-12, 8 ประตูจาก 36 เกมซีซั่น 2012-13 และ 5 ประตูจาก 28 เกมซีซั่น 2013-14 ในที่สุด เชลซี ก็หมดความอดทนต้องส่งตัวไปชุบที่ มิลาน ด้วยสัญญายืม 2 ปี แต่กลับอาการหนักกว่าเดิม ได้เล่นแค่ 10 นัด ยิงลูกเดียว ผ่านไปครึ่งซีซั่น ปีศาจแดงดำ จึงส่งตัวกลับ
เชลซี รู้ดีว่าได้โยนเงิน 50 ล้านปอนด์ลงทะเลไปเรียบร้อยแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดคือการเซฟค่าจ้าง จึงส่งตัวกลับไปให้ แอตเลติโก มาดริด สโมสรแรกของ ตอร์เรส ยืมใช้งานจนหมดสัญญาในปี 2016
2015-16 ราดาเมล ฟัลเกา
แม้มองเห็นความล้มเหลวในการย้ายมาเล่นพรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ด้วยตาเปล่า แต่ เชลซี ยังคงเสี่ยงยืมตัวกองหน้าโคลอมเบียจาก โมนาโก 1 ฤดูกาล พร้อมออปชั่นซื้อขาด 38 ล้านปอนด์
"ถ้าผมสามารถช่วย ฟัลเกา ให้กลับมาเล่นในระดับของตัวเองได้อีกครั้ง ผมก็จะทำ ผมเจ็บปวดมากที่ผู้คนในอังกฤษคิดว่า ฟัลเกา ตัวจริงคือคนที่เราเห็นในชุด ยูไนเต็ด" มูรินโญ่ ที่คุมทัพ เชลซี รอบสอง กล่าวเอาไว้ในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ก่อนจะถูกไล่ออกในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
ฟัลเกา อาการหนักกว่าตอนเล่นให้ ปีศาจแดง เสียอีก เพราะมีเพียงประตูเดียวจาก 12 เกมแรก แถมยังบาดเจ็บหนักจน กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือคนถัดไปต้องตัดชื่อออกจากชุดแชมเปี้ยนส์ลีกครึ่งซีซั่นหลัง
2017-18 อัลบาโร่ โมราต้า
เบอร์ 9 ไม่มีใครครอบครองไปอีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่ เชลซี จะจัดหนักอีกแล้ว ทุ่ม 70 ล้านปอนด์ดึงตัวศูนย์หน้าจอมเทคนิคทีมชาติสเปนมาจาก เรอัล มาดริด เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2017
แฟนๆ เชลซี ยังคงหลอนกับฟอร์มของ ตอร์เรส แต่ โมราต้า ได้เข้ามาเปลี่ยนความคิดใหม่หมด ด้วยการยิง 8 ประตู 4 แอสซิสต์ จาก 11 เกมแรกพรีเมียร์ลีก จนทำให้แฟนๆ เริ่มวาดฝันว่าดาวยิงเบอร์ 9 จะกลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง
แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่มาอย่างรวดเร็วชนิดที่เจ้าตัวก็หาสาเหตุไม่ได้ จึงถูก คอนเต้ ดร็อปไปอีกหลายเกมด้วยเพราะสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ผ่านไปครึ่งซีซั่นจึงไปเซ็นคว้า โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ มาแย่งตำแหน่ง
โมราต้า จบฤดูกาลแรกไปแบบเจ็บๆ มีเพียง 15 ประตูจาก 48 เกมรวมทุกรายการ ซีซั่นถัดมาจึงทำเซอร์ไพรส์ด้วยการเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 29
หลังจากปล่อยว่างมาครึ่งฤดูกาล เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็รีเควสต์กองหน้าคู่ใจ กอนซาโล่ อีกวาอิน มาร่วมทัพด้วยสัญญายืมตัว และกลายเป็นความหวังใหม่ (อีกครั้ง) กับการเป็นดาวยิงเบอร์ 9 ขวัญใจแฟนๆ เชลซี