ชัยชนะของ อังกฤษ เหนือ สาธารณรัฐเช็ก 5-0 มีประเด็นหลักๆ ที่น่าสนใจคือ ราฮีม สเตอร์ลิง, เจดอน ซานโช่ และ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย
จากสามประตูของ สเตอร์ลิง ทำให้ ปีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลบคำสบประมาทที่หลายคนเคยปรามาสเอาไว้ จากฟอร์มการยิงประตูสุดฝืดในศึกฟุตบอลโลก 2018 เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว
สเตอร์ลิง มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นับตั้งแต่สองฤดูกาลสุดท้ายกับ ลิเวอร์พูล ที่ยิง 10 ประตูจาก 38 นัดในฤดูกาล 2013-14 และ 11 ประตูจาก 52 นัดในฤดูกาล 2014-15
สองซีซั่นแรกกับ แมนฯ ซิตี้ ตัวเลขการทำประตูยังใกล้เคียงของเดิมคือ 11 ประตูจาก 47 นัดในฤดูกาล 2015-16 และ 10 ประตูจาก 47 นัดในฤดูกาล 2016-17
แต่พอเข้าสู่ซีซั่น 2017-18 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สเตอร์ลิง ถูกปรับบทบาทในการหุบเข้าทำตรงกลางมากขึ้น และจบฤดูกาลซัลโวไปถึง 23 ประตูจาก 46 นัด
จึงไม่แปลกที่หลายคนตั้งความหวังเอาไว้สูงในศึกเวิลด์คัพที่ รัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ผลงานกับทีมชาติอังกฤษก่อนถึงฟุตบอลโลก ก็ไม่ได้โดดเด่นเรื่องการทำประตูอยู่แล้ว เพราะมีเพียง 2 ประตูจากปี 2015 ที่ยิงหมูน้อย ลิทัวเนีย กับ เอสโตเนีย ในเกมยูโร 2016 รอบคัดเลือก
สเตอร์ลิง ใช้เสียงวิจารณ์จากทัวร์นาเมนต์ที่ รัสเซีย กลายเป็นแรงผลักดันให้พิสูจน์ตัวเองเรื่องการทำประตู เพราะหลังจบเวิลด์คัพ ปีกจาก แมนฯ ซิตี้ ยิงสองประตูสำคัญในชัยชนะเหนือ สเปน 3-2 ที่ เซบีย่า ในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว
และโชคชะตาก็เป็นใจให้ซัลโวแฮตทริกในเกมแรก รอบคัดเลือก ยูโร 2020
แฮตทริกนี้ ทำให้ สเตอร์ลิง กลายเป็นนักเตะ สิงโตคำราม คนแรกที่ยิงสามประตูที่ เวมบลีย์ นับตั้งแต่ที่ เจอร์เมน เดโฟ ทำเอาไว้ในเกมเจอ บัลแกเรีย เมื่อเดือนกันยายน ปี 2010
และเป็นการยิงแฮตทริกให้กับทีมชาติและสโมสรภายในเดือนเดียวกัน หลังจาก สเตอร์ลิง ซัลโว 3 ประตูใส่ วัตฟอร์ด กับ เช็ก ในเดือนมีนาคม เป็นคนแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ อลัน เชียเรอร์ ทำเอาไว้เดือนกันยายน ปี 1999 ที่ยิง เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ กับ ลักเซมเบิร์ก
นอกจากนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า สเตอร์ลิง ใช้โอกาสสุดคุ้มแปรเปลี่ยนเป็นประตู โดย 3 ประตูนี้เกิดจากโอกาสยิงเพียง 5 ครั้ง ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ใช้โอกาสเปลือง 62 ครั้งมีเพียง 2 ประตูกับ ทรี ไลออนส์
อย่างไรก็ตาม สเตอร์ลิง ไม่ใช่คนที่โดดเด่นคนเดียวที่ถูกพูดถึงในเกมที่ เวมบลีย์ เมื่อวันศุกร์ เพราะผลงานของ ซานโช่ ก็ถูกยกย่องเช่นกัน ในฐานะที่เพิ่งอายุ 18 ปีเท่านั้น
จุดเด่นของ ซานโช่ คือ ความเร็ว การเลี้ยงบอล เปิดบอล ครอสบอล จนกลายเป็นแอสซิสต์หลายต่อหลายประตูกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาลนี้
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ ซานโช่ แตกต่างจากปีกคนอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน ที่เน้นลากตัดเข้ากลาง หรือไม่ก็ชอบทำเกมขึ้นมาแล้วจบสกอร์ด้วยตัวเอง
เกมเจอ สาธารณรัฐเช็ก ซานโช่ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่ลงตัวจริงให้ อังกฤษ ในเกมรายการสำคัญ ด้วยอายุ 18 ปีกับ 362 วัน เป็นรองแค่ ไมเคิ่ล โอเว่น 18 ปีกับ 300 วัน ในปี 1998 และเจ้าของสถิติ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ 18 ปีกับ 183 วันในปี 1955
หนึ่งแอสซิสต์ และโอกาสสร้างสรรค์ประตูอีกมากมาย รวมถึงเกือบยิงประตูแรกในนามทีมชาติได้ด้วย (แต่ถูกสกัดบนเส้นประตู) น่าจะทำให้ ซานโช่ ยึดตัวจริงต่อไปในเกมเยือน มอนเตเนโกร เป็นเกมฉลองวันเกิดอายุครบ 19 ปีบริบูรณ์ วันที่ 25 มีนาคม
และคนสุดท้ายที่ถูกพูดถึงเยอะคือ ฮัดสัน-โอดอย ปีกดาวรุ่งของ เชลซี รุ่นราวคราวเดียวกับ ซานโช่ แต่โอกาสที่ได้ลงสนามในซีซั่นนี้แตกต่างกันเยอะทีเดียว เพราะ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ให้โอกาสโชว์ฝีเท้าไม่มากนักในเกมยูโรปาลีก
หากไม่ดูเรื่องตัวจริง ตัวสำรองแล้ว ฮัดสัน-โอดอย ลงสนามในวัย 18 ปีกับ 135 วัน ทำลายสถิติอายุน้อยสุดที่ประเดิมทีมชาติอังกฤษในรายการสำคัญของ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ 18 ปีกับ 183 วันลงเรียบร้อย
แม้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ส่งลงสนามในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่ ฮัดสัน-โอดอย ก็มีส่วนกับประตูปิดท้าย ที่ยิงไปถูก ยิรี่ พาฟเลนก้า เซฟออกมาโดน โทมัส คาลาส เข้าประตูตัวเอง
และการส่งทั้ง ซานโช่ กับ ฮัดสัน-โอดอย ลงสนามในเกมเดียวกัน ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 138 ปี ที่ สิงโตคำราม ใช้งานสองนักเตะที่อายุ 18 ปีหรือน้อยกว่านั้น ลงสนามในเกมเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี 1881 ที่ใช้งาน เธิร์สตัน รอสตรัน กับ จิมมี่ บราวน์
นี่คือผลงานและสถิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ ราฮีม สเตอร์ลิง, เจดอน ซานโช่ และ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กับการเตรียมทีมสู้ศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก รอบรองชนะเลิศเจอกับ ฮอลแลนด์ ในช่วงเดือนมิถุนายน ต่อยอดยาวๆ ถึงศึกยูโร 2020
