ชัยชนะของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เหนือ ยูเวนตุส ที่ ตูริน เป็นการส่งยอดทีมจากฮอลแลนด์เข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ยูซีแอล เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97
ขณะที่คู่แข่งในรอบรองชนะเลิศผ่านเกมมาทั้งสิ้น 10 นัด แต่ อาแจ็กซ์ ต้องลงเล่นมามากถึง 16 นัด จากการตะลุยมาตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบสอง ในฐานะรองแชมป์เอเรดิวิซี่ลีก ฤดูกาลที่แล้ว
การผ่าน สตวร์ม กราซ, สต็องดาร์ ลีแอช และ ดินาโม เคียฟ ทั้งสามรอบคัดเลือก มาจนถึงรอบแบ่งกลุ่ม 6 นัด และรอบน็อกเอาท์กับ เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส ทั้ง 4 นัด อาแจ็กซ์ พ่ายแพ้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น คือการปราชัยคารัง โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า ต่อ ราชันชุดขาว 1-2
หมายความว่า อาวุธเด็ดที่ทำให้ อาแจ็กซ์ เดินทางมาไกลถึงจุดนี้อยู่ที่เกมเยือน ที่เล่นไป 8 นัด ตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบสอง ชนะ 4 เสมอ 4 ทั้งที่มีเกมหนักๆ เยือนทั้ง บาเยิร์น มิวนิค, เบนฟิก้า, เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส
ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ส่งให้ อาแจ็กซ์ บุกชนะที่ ตูริน นอกจากฟอร์มของ 'แมน ออฟ เดอะ แมตช์' มัทไธส์ เดอ ลิกต์ เซนเตอร์แบ็กที่ทำประตูชัยแล้ว จุดเด่นคือจังหวะโต้กลับเร็วที่เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างดี
"เราสร้างโอกาสได้เยอะมาก แต่เราจัดการฝังพวกเขาไม่ได้" เดอ ลิกต์ ในฐานะกัปตันทีม กล่าว
"เรารู้ดีว่าอะไรที่เราสามารถทำได้ ผมคิดว่า ยูเว่ ก็จะรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีแล้วหลังจากคืนนี้ เราแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเราเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก"
"มันเป็นเรื่องแปลก เรารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ ผมพูดอะไรไม่ออกเลย เราทุกคนภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แฟนบอลก็ภาคภูมิใจ เมืองของเราก็ภูมิใจ"
"ไม่ว่าเราจะคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้หรือไม่ ตอนนี้เรากำลังจะไปถึงรอบชิงแล้ว ทั้ง ยูเว่ และ เรอัล มาดริด ต่างถูกเราเขี่ยตกรอบทั้งหมด"
อันที่จริงแล้ว เอริค เทน ฮาก เทรนเนอร์ อาแจ็กซ์ เพิ่งมาสร้างทีมลงล็อคก็ในฤดูกาลนี้ เมื่อไปคว้าตัว ดูซาน ทาดิช กองกลางตัวรุกทีมชาติเซอร์เบียมาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัวเพียง 11.4 ล้านปอนด์
และ ทาดิช ถูกวางเป็นศูนย์หน้าตัวกลางในระบบ 'ฟอลส์ไนน์' เวลาออกไปเล่นเกมเยือน ประสานงานกับ ดาวิด เนเรส กองหน้ากึ่งปีกชาวบราซิล และ ฮาคิม ซิเยค มิดฟิลด์โมร็อกโก
นี่คือฤดูกาลที่เหลือเชื่อของ ทาดิช เพราะจาก 49 เกมที่ลงเล่นรวมทุกรายการในซีซั่นนี้ มีส่วนร่วมกับประตูมากถึง 50 ลูก เป็นการซัลโว 32 ประตู และทำ 18 แอสซิสต์ จึงไม่แปลกใจที่ เทน ฮาก ไว้วางใจให้ยืนกองหน้าตัวเป้ายามออกนอกบ้าน
แม้แต่ศูนย์หน้าแท้ๆ อย่าง คลาส-ยาน ฮุนเตลาร์ ตัวเก๋าที่ยิงไป 19 ประตูจาก 38 เกม กับ คาสเปอร์ โดลเบิร์ก ที่เคยเป็นดาวรุ่งเนื้อหอมก่อนหน้านี้ มีเพียง 12 ประตูจาก 34 เกม ยังต้องนั่งสำรองทั้งคู่
ทีมของ เทน ฮาก ชุดนี้ นอกจากดาวดังที่กำลังถูกรุมตอมอย่าง มัทไธส์ เดอ ลิกต์, ดาวิด เนเรส, นิโกลัส ตาเกลียฟิโก้ แล้ว ยังมีอีกคนที่โดดเด่น แต่ไม่ถูกพูดถึงมากนัก นั่นคือ ดอนนี่ ฟาน เดอ บีค
มิดฟิลด์ลูกหม้อวัย 21 ปีของ อาแจ็กซ์ ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2015 และติดทีมชาติฮอลแลนด์ชุดใหญ่ในอีก 2 ปีต่อมา เรียกได้ว่าแจ้งเกิดก่อน เฟร้งกี้ เดอ ย็อง กองกลางรุ่นเดียวกันเสียอีก แต่ด้วยบทบาทที่เป็นคนปิดทองหลังพระมากกว่า ทำให้หลายต่อหลายคนไม่ค่อยพูดถึง
หลังจบเกม อีกคนที่ถูกจับจ้องคือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ผู้อำนวยการสโมสร อาแจ็กซ์ อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติฮอลแลนด์ที่เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงกับ อาแจ็กซ์ ก่อนย้ายไป ยูเวนตุส ในปี 1999
"นี่คือผลงานที่มีประสิทธิภาพจาก เอริค (เทน ฮาก) ทั้งเรื่องการวางแผนและการเลือกทีม ชิ้นส่วนทั้งหมดถูกจัดวางอย่างลงล็อก"
"เรากำลังสร้างโปรเจกต์นี้ขึ้นมา บางครั้งมันก็ไม่ได้ผล แต่ครั้งนี้มันยอดเยี่ยมมาก นี่คือสิ่งที่คุณลงทุนและกำลังทำมาตลอดหลายปี และนี่คือการลิ้มรสชาติที่แสนอร่อย"
หลังจากนี้ไม่ว่า อาแจ็กซ์ จะไปถึงรอบชิงชนะเลิศหรือไม่ นี่คือผลงานที่ทะลุเกินเป้าหมายของสโมสรแล้ว กับการที่ก่อนหน้านี้ต้องร่วงตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบสามถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน และย้อนกลับไปอีก 5 ซีซั่นก็ไม่เคยผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้เลย
นอกจากนี้ อาแจ็กซ์ ยังมีเป้าหมายใหญ่คือการทวงแชมป์เอเรดิวิซี่กลับคืนมาให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเวลานี้ครองจ่าฝูงด้วยประตูได้เสียที่เหนือกว่า พีเอสวี ขณะที่เหลือ 4 เกมสุดท้ายของซีซั่น และยังมีบอลถ้วยที่ตอนนี้รอเล่นรอบชิงชนะเลิศเจอกับ วิลเลม ทเว อีกรายการ
