ในยุโรป มีหลายสโมสรที่ทำกำไรหรือผลิตค่าตัวมหาศาลจากการขายนักเตะป้อนทีมใหญ่ หนึ่งในสโมสรเหล่านั้นมีชื่อ โอลิมปิก ลียง รวมอยู่ด้วย
หลังจากปิดการขาย ตองกีย์ เอ็นดงเบเล่ กองกลางตัวเก่งไปให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยค่าตัว 60 ล้านยูโร ทำลายสถิติขายนักเตะแพงที่สุดของสโมสร ก็ทำให้ โอลิมปิก ลียง รับทรัพย์มหาศาล 108 ล้านยูโร จากการขายนักเตะสองคนในช่วงเวลาหนึ่งเดือน
ลียง จ่าย 2 ล้านยูโรให้ อาเมียงส์ เป็นค่ายืม เอ็นดงเบเล่ ในปี 2017 และจ่ายอีก 8 ล้านยูโร บวกกับโบนัสอีกราวๆ 250,000 ยูโร เป็นค่าซื้อขาดในปีต่อมา และหลังจากนั้นเพียงปีเดียว สามารถถอนทุนคืน และอัพค่าตัวนักเตะได้มากถึง 6 เท่า
ตองกีย์ เอ็นดงเบเล่
ในราย แฟร์กล็องด์ เมนดี้ ก็มีความคล้ายคลึงกัน ลียง จ่ายให้ เลอ อาฟร์ 5+1 ล้านยูโร ในปี 2017 และสองปีต่อมาขายไปให้ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่พุ่งกระฉูดเป็น 48+5 ล้านยูโร
จึงทำให้ ฌอง-มิเชล โอลาส เป็นหนึ่งในประธานสโมสร ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในตลาดซื้อขายนักเตะ นับตั้งแต่เข้ามาดูแลสโมสรตั้งแต่ปี 1987 หรือเมื่อ 32 ปีที่แล้ว
แผนการในช่วงแรกของ โอลาส ก็ไม่มีอะไรมาก นั่นคือการพา ลียง ถีบตัวเองจาก ดิวิชั่น 2 ขึ้นสู่ ดิวิชั่น 1 ให้ได้ภายใน 4 ปี แต่กลับทำได้เร็วกว่านั้น เพราะใช้เวลาเพียงสองปีเลื่อนชั้นภายใต้เทรนเนอร์ยอดฝีมือ เรย์มงด์ โดเมอเน็ค
ฌอง-มิเชล โอลาส
โอลาส พา ลียง ประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ฤดูกาล 2001-02 ในยุคของเทรนเนอร์ ฌักส์ ซ็องตินี่ โดยมี ซอนนี่ อันแดร์ซอน เป็นศูนย์หน้าดาวดังประจำทีม
และเป็นจุดเริ่มต้นการครองความยิ่งใหญ่ในฝรั่งเศสติดต่อกัน หลังจากเปลี่ยนชื่อมาเป็น ลีกเอิง ฤดูกาลต่อมา ลียง คว้าแชมป์ลีกติดต่อกัน 7 ปี ทั้งในช่วงเวลาของ ปอล เลอ กูแอน 3 ฤดูกาล, เชราร์ อูลลิเยร์ 2 ฤดูกาล และ อาแล็ง แปร์กแร็ง อีก 1 ฤดูกาล
ผลผลิตจาก ลียง ได้รับการจับตามองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ จนตกอยู่ในสถานการณ์ 'สมองไหล' ใครสร้างชื่อหรือแจ้งเกิดเพียงแค่แป๊ปเดียว ก็มีอันต้องย้ายทีมอยู่เสมอ
คาริม เบนเซม่า
โอลาส เรียกค่าตัวและเก็งกำไรนักเตะได้มากมายหลายคน ทั้งนักเตะที่ย้ายไปประสบความสำเร็จอย่าง ไมเคิ่ล เอสเซียง ไป เชลซี ค่าตัว 38 ล้านยูโรในปี 2005, คาริม เบนเซม่า ไป เรอัล มาดริด ค่าตัว 35 ล้านยูโรในปี 2009 หรือนักเตะที่้ย้ายไปล้มเหลว จนถูกมองว่าเป็น 'ของปลอมทำเหมือน' อย่าง มาอามาดู ดิยาร์ร่า ไป เรอัล มาดริด ค่าตัว 26 ล้านยูโรในปี 2006
และการที่ โอลาส ขายนักเตะตัวหลักดีเป็นเทน้ำเทท่าแบบนี้ ก็ต้องแลกมากับการไม่ได้สัมผัสแชมป์ ลีกเอิง อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008
กิจการของ โอลาส เริ่มซบเซาไปพร้อมกับผลงานที่ดิ่งลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา นักเตะตัวหลักของ ลียง เริ่มกลับมาเป็นที่ต้องการของตลาดอีกครั้ง
ซามูเอล อูมตีตี้ ถูกขายไปให้ บาร์เซโลน่า ในราคา 25 ล้านยูโรเมื่อปี 2016, โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ ไป บาเยิร์น มิวนิค 41.5 ล้านยูโร กลายเป็นสถิติขายนักเตะแพงสุดของ ลียง ในปีต่อมา แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน สถิติดังกล่าวก็ถูกทำลายโดย อเลซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ ที่ย้ายไป อาร์เซน่อล 53 ล้านยูโร
อเลซ็องด์ ลากาแซ็ตต์
อันที่จริง ในปี 2018 เกือบมีการลบสถิติลงอีกครั้ง หลังจากตกลงขาย นาบิล เฟเคียร์ ไปให้ ลิเวอร์พูล ในราคา 60 ล้านยูโร แต่สุดท้ายดีลล่มหลังไม่ผ่านการตรวจร่างกาย แต่ปีที่แล้ว ลียง ก็ยังทำกำไรจากการขาย มาเรียโน่ ดิอ๊าซ กลับไปให้ เรอัล มาดริด 21.5 ล้านยูโร และ วิลเลม เชิบแบลส์ ดาวรุ่งวัย 17 ปีไปให้ โมนาโก ค่าตัวสูงถึง 20 ล้านยูโร
และอย่างที่เกริ่นหัวไปแล้วว่าช่วงซัมเมอร์นี้มีการลบสถิติขายนักเตะแพงสุดลงไปแล้วโดย เอ็นดงเบเล่ บวกกับ เมนดี้ อีกคน ค่าตัวรวมกันถึง 108 ล้านยูโร
ผลงานในสนามอาจทรุดลงกว่าเดิม แต่เมื่อมองถึงความเป็นจริง เวลานี้ยังยากจะต่อกรกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ที่มีการเสริมทัพมหาศาลแทบทุกปีอยู่แล้ว
ดังนั้น โอลาส และ ลียง จึงขอประสบความสำเร็จในตลาดซื้อขายนักเตะดีกว่า