ปี 2004 แทมมี่ อาบราฮัม ก้าวเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของ เชลซี ร่วมทีมชุดยู-8 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ครองดาวซัลโวทีมชุดใหญ่ซีซั่นนั้น
ผ่านไป 15 ปี แลมพาร์ด กลับมาคุมทีม เชลซี ขณะที่ อาบราฮัม กำลังจะเสนอชื่อตัวเองอยู่ในทีมชุดใหญ่เป็นฤดูกาลแรกในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์
สาเหตุสำคัญคือการติดโทษแบนห้ามเสริมทัพสองช่วงตลาดซื้อขายของฤดูกาล 2019-20 ทำให้ดาวรุ่งหลายต่อหลายคนมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเพื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่
และหนึ่งในนั้นก็คือ แทมมี่ อาบราฮัม
"ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และไม่มีโอกาสครั้งไหนที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ที่จะมีส่วนร่วมกับทีม ทำงานหนักเพื่อตำแหน่งตัวจริง และอยู่ในทีมที่ยิ่งใหญ่อย่าง เชลซี"
"กับผู้จัดการทีมคนใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น จึงทำให้นักเตะหนุ่มและนักเตะอีกหลายๆ คนเชื่อว่าโอกาสของตัวเองอาจมาถึง"
"คุณเห็นได้จากช่วงปรีซีซั่น และช่วงการฝึกซ้อม เขาเข้ามาพูดกับเรา และให้คำแนะนำกับเราถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และสิ่งที่เขาชอบ"
"ถือเป็นเรื่องดีเสมอที่มีผู้จัดการทีมพูดกับนักเตะเป็นรายคน ไม่ใช่แค่นักเตะรุ่นใหญ่ แต่นักเตะหนุ่มๆ ก็เช่นกัน จึงถือเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเรา"
หลังจากระเบิดฟอร์มเก่งกับทีมชุดเยาวชนในฤดูกาล 2014-15 กับ 2015-16 ที่ อาบราฮัม ซัลโวไปถึง 74 ประตูจาก 98 เกมรวมทุกรายการ กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชั่วคราวที่เข้ามาคุมทีมต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ในช่วงกลางซีซั่น 2015-16 ก็มอบโอกาสสำคัญให้กับ อาบราฮัม ด้วยการเรียกตัวมาซ้อมในทีมชุดใหญ่
อาบราฮัม ได้รับโอกาสจาก ฮิดดิ้งค์ ที่ส่งลงสำรองในช่วงท้ายซีซั่นนั้น ทั้งในเกมเสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 และเสมอ เลสเตอร์ 1-1 ที่ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่า
แต่ใครจะเชื่อว่า หลังจากซีซั่น 2015-16 อาบราฮัม ไม่เคยได้รับโอกาสอีกเลยทั้งในช่วงเวลาของ อันโตนิโอ คอนเต้ และ เมาริซิโอ ซาร์รี่
ฤดูกาล 2016-17 อาบราฮัม ถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นกับ บริสตอล ซิตี้ ในแชมเปี้ยนชิพ และจบซีซั่นด้วย 26 ประตูจาก 48 เกมรวมทุกรายการ
ซีซั่นถัดมา มีข้อเสนอขอยืมตัวเข้ามามากมายก่ายกอง และ อาบราฮัม ก็แจ้งกับ เชลซี ว่าต้องการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ดังนั้นจึงถูกปล่อยให้ สวอนซี ยืมตลอดทั้งฤดูกาล แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีเพียง 5 ประตูจาก 31 เกมพรีเมียร์ลีก ที่บทสรุปของทีมคือตกชั้น
ฤดูกาลที่แล้ว อาบราฮัม เลือกไปพิสูจน์ตัวเองกับ แอสตัน วิลล่า ในเวทีแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ซัลโวไปอีก 25 ประตูจาก 37 เกมลีก มีส่วนสำคัญพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก
"มีความกดดันเกิดขึ้นทุกที่ที่ผมไป และทุกที่ที่ผมอยู่ นั่นแหละคือฟุตบอลสำหรับคุณ"
"ผมชอบความกดดัน มันทำให้ผมมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้า มีการแข่งขันเกิดขึ้น ก็เหมือนกับ โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ และ มิชี่ บาตชูอายี่ นั่นแหละ ถือเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยม ผมจึงต้องพยายามทำให้ดีขึ้น"
"ผมแค่ต้องทำงานหนักตอนซ้อม ผู้จัดการทีมบอกผมว่าเขาชื่นชอบอะไรในตัวผม และสิ่งที่เขาต้องการให้ผมทำต่อไป ผมแค่ต้องปรับปรุงเรื่องอื่นๆ ในเกมของผม"
"เขารู้ว่าผมสามารถยิงได้มาก จึงเหลือแค่เรื่องของเกมรับในเกมของผม ผมต้องทำงานหนักเพื่อทีม ทุ่มเทเต็ม 100 เปอร์เซนต์ตอนซ้อม และหวังว่าจะได้รับโอกาสของตัวเอง"
ถึงตอนนี้ตัวเลือกตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าของ แลมพาร์ด เหลือเพียง โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์, มิชี่ บาตชูอายี่ และ อาบราฮัม เพียงสามคนเท่านั้น หลังจากไม่ซื้อขาด กอนซาโล่ อีกวาอิน และยังปล่อย อัลบาโร่ โมราต้า ให้ แอตเลติโก มาดริด ยืมอีกหนึ่งฤดูกาล
และดูเหมือนโอกาสของ อาบราฮัม จะไม่เป็นรองอีกสองคนสักเท่าไหร่แล้ว หลังจากทำประตูสวยๆ ใส่ บาร์เซโลน่า ในชัยชนะ 2-1 เกมอุ่นเครื่องที่ ไซตามะ เมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฏาคม เป็นการปิดฉากทริปที่ญี่ปุ่นอย่างน่าพอใจ
ที่สำคัญ แลมพาร์ด ได้เห็นฟอร์มของ อาบราฮัม อย่างชัดเจนในแชมเปี้ยนชิพซีซั่นที่แล้ว เพราะเผชิญหน้ากันถึงสามนัด โดยเฉพาะรอบชิงชนะเลิศ เพลย์ออฟ เลื่อนชั้น ที่ แอสตัน วิลล่า ของ อาบราฮัม เอาชนะ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ของ แลมพาร์ด ที่ เวมบลีย์