"สักวันนึง ผมจะติดทีมชาติอังกฤษ" คำพูดจากปากศูนย์หน้าโนเนม ที่ก้าวกระโดดจากนอกลีก สู่แชมเปี้ยนชิพ และไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด พรีเมียร์ลีก
อาจมีนักฟุตบอลหลายคนที่ทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เริ่มต้นจากติดลบ แล้วค่อยๆ ปีนถึงจุดสุดยอด เหมือนอย่างที่ เจมี่ วาร์ดี้ สร้างปรากฏการณ์เอาไว้
ในโลกฟุตบอล เป้าหมายของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วาร์ดี้ ก็เช่นกัน จากที่เคยฝันเล่นลีกอาชีพ จากที่เคยฝันเล่นพรีเมียร์ลีก จากที่เคยฝันคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก จากที่เคยฝันติดทีมชาติ และพอทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย ฝันต่อไปก็คือ การเล่นฟุตบอลโลก
เด็กหนุ่มจากเชฟฟิลด์ ล้มเหลวกับการเป็นนักเตะเยาวชนของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ สโมสรใหญ่ จึงเริ่มต้นใหม่กับขั้นบันไดที่ต่ำลงอย่าง สต็อคส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์ ในวัย 16 ปี
ด้วยความเร็วที่เป็นอาวุธประจำกาย ทำให้ วาร์ดี้ ถูกจับตาจากแมวมองของหลายทีมในฟุตบอลลีก แต่การทดสอบฝีเท้ากับ ครูว์ อเล็กซานเดอร์ ก็ล้มเหลว และสัญญาระยะสั้นจาก ร็อทเธอร์แฮม ก็ทำให้เขาต้องตอบปฏิเสธ
ในวัย 23 การเริ่มต้นของ วาร์ดี้ ดูจะล่าช้ากว่ากำหนดไปเยอะ แต่ทุกๆ อย่างก็ค่อยๆ เป็นไปตามวิถีทาง จนในที่สุด แฮลิแฟ็กซ์ ทาวน์ คือสโมสรที่เขาเลือก แม้ยังไม่ใช่ทีมในฟุตบอลลีก แต่ก็ขยับขึ้นมาอยู่ขั้น นอร์ทเธิร์น พรีเมียร์ ดิวิชั่น หรือเทียบเท่าดิวิชั่น 7 ของอังกฤษ
25 ประตูจาก 37 นัดในซีซั่นแรก เป็นดาวซัลโวของสโมสร พ่วงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร และแชมป์แรกของเขาคือ นอร์ทเธิร์น พรีเมียร์ ดิวิชั่น กับ แฮลิแฟ็กซ์
บันไดถูกขยับสูงขึ้นมาอีกขั้น เมื่อ ฟลีทวูด ทาวน์ ซื้อตัวไปร่วมทีม แม้ยังคงเป็นทีมนอกลีก แต่ตอนนี้ขยับมาถึง คอนเฟอเรนซ์ แล้ว หมายความว่า อีกก้าวเดียวก็จะขึ้นถึง ลีกทู
และ ฟลีทวูด ทีมนี้นี่เองที่ทำให้ วาร์ดี้ ระเบิดฟอร์มเก่ง ยิงไป 31 ประตูในลีก คว้าดาวซัลโวคอนเฟอเรนซ์ และที่สำคัญที่สุดคือการพาทีมคว้าแชมป์ พร้อมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ฟุตบอลลีกสมใจอยาก
แต่ยังไม่ทันได้สัมผัส ลีกทู วาร์ดี้ ก็ถูก เลสเตอร์ ซิตี้ ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติค่าตัวแพงสุดของทีมนอกลีก
และการย้ายแบบก้าวกระโดดขึ้นมาทีเดียว 3 ขั้น อาจทำให้ วาร์ดี้ ปรับตัวไม่ทัน และหลงระเริงไปกับเงินทอง ที่แทบไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นักสมัยค้าแข้งอยู่นอกลีก
ทว่า วาร์ดี้ ก็ยังกลับตัวกลับใจทัน และตั้งหลักจนมีส่วนสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนชิพ พร้อมเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก ในปี 2014
จากนักเตะโนเนมในนอกลีก ตอนนี้ วาร์ดี้ ก้าวขึ้นมาสร้างชื่อในเวทีพรีเมียร์ลีก และพีคที่สุดในฤดูกาล 2015-16 ที่ยิงแหลก 24 ประตูพา เดอะ ฟ็อกซ์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ ตามด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีอีก 3 สำนัก
ในตอนนั้น วาร์ดี้ ฝันถึงการติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุยศึก ยูโร 2016 หลังจากฝากลูกไขว้สวยๆ เป็นประตูแรกนามทีมชาติในชัยชนะ 3-2 ที่ เบอร์ลิน และอีก 2 ประตูที่ยิง ฮอลแลนด์ และ ตุรกี จนสุดท้ายก็มีชื่อเป็น 1 ใน 23 สมใจ
แม้ไม่ได้รับโอกาสมากนัก แต่ วาร์ดี้ ก็เป็นสำรองลงไปยิง เวลส์ ได้ 1 ประตู ก่อนยุติเส้นทางที่ ฝรั่งเศส ด้วยความปราชัยแบบอัปยศต่อ ไอซ์แลนด์ ในรอบ 16 ทีม
หลายสิ่งหลายอย่างหลังจากนั้นดูเหมือนจะถอยลงมาเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง เมื่อ วาร์ดี้ กลับมายิงเข้าฝักเข้าฟอร์มทันในฤดูกาลก่อนถึง เวิลด์คัพ
"มันใหญ่โตมาก" วาร์ดี้ พูดถึงเป้าหมายกับการไป รัสเซีย
"ผมรู้แต่แรกแล้วว่าผมต้องทำผลงานให้ดีกับสโมสรก่อน จากนั้นโอกาสในทีมชาติถึงจะตามมา ผมทุ่มเทเต็มที่ทุกอย่างเพื่อ เลสเตอร์ และหวังว่าผลงานของผมจะทำให้ผมรับประกันพื้นที่ในทีม"
"ผมคิดว่าฟอร์มในฤดูกาลนี้ก็โอเค มันอาจจะดูช้าไปนิด แต่โดยรวมแล้ว ผมคิดว่ามันโอเค"
แม้อีก 2 เดือน อายุของ วาร์ดี้ จะแตะหลัก 31 แต่สำหรับศูนย์หน้าลมกรดอย่างเขา ยังคิดว่าตัวเองอายุ 21 อยู่เลย ยิ่งถ้าเห็นผลงานในสนามด้วยแล้ว คำพูดของเขาก็ไม่มีอะไรผิด
เส้นทางชีวิตของ วาร์ดี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเริ่มต้นเล่นฟุตบอลลีกในวัย 25 และการติดทีมชาติอังกฤษในวัย 28 ไม่ได้ช้าเกินไป
และความฝันต่อไปของเขาอยู่ที่ เวิลด์คัพ 2018 กับการได้รับโอกาสจาก แกเร็ธ เซาธ์เกต ให้มากกว่า ยูโร 2016 ที่ได้รับจาก รอย ฮ็อดจ์สัน