4 ปีที่แล้ว ศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้ต้อนรับสมาชิกใหม่มากถึง 5 ชาติ หลังจากเป็นครั้งแรกที่ปรับรูปแบบทัวร์นาเมนต์จาก 16 ทีม มาเป็น 24 ทีม
ในศึกยูโร 2016 ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ, เวลส์, อัลเบเนีย และ สโลวาเกีย คือ 5 ทีมชาติที่ปรากฏตัวในทัวร์นาเมนต์ยูโร รอบสุดท้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยที่ ไอซ์แลนด์ กับ อัลเบเนีย คือ 2 ชาติที่ได้เข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรกด้วย
ผ่านไป 4 ปี ศึกยูโร 2020 รอบสุดท้าย ได้ต้อนรับสมาชิกหน้าใหม่ชาติแรกคือ ฟินแลนด์ ประเทศที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในฟุตบอลรายการเมเจอร์มาก่อน นี่จึงเป็นประวัติศาสตร์ของชนชาวฟินน์ ที่กีฬายอดฮิตของพวกเขาคือ ฮ็อกกี้น้ำแข็ง
ในบรรดาชาติในกลุ่มนอร์ดิก หรือภูมิภาคยุโรปเหนือ สวีเดน เล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่หนแรกตั้งแต่ศึกเวิลด์คัพ 1934, นอร์เวย์ เปิดตัวในศึกเวิลด์คัพอีก 4 ปีต่อมา, เดนมาร์ก ประเดิมในฟุตบอลโลก 1986, ไอซ์แลนด์ แจ้งเกิดครั้งแรกในยูโร 2016 จะเหลือก็ ฟินแลนด์ ชาติเดียวนี่แหละ! ที่ยังไม่เคยสัมผัส
นับตั้งแต่เข้าร่วมรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 1938 ฟินแลนด์ ไม่เคยประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์หลักทั้ง เวิลด์คัพ กับ ยูโร ดังนั้นการคว้าตั๋ว ยูโร 2020 รอบสุดท้าย จึงสิ้นสุดการรอคอยอย่างยาวนาน 81 ปี
ตลอด 4 ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา ยูโร 2012, เวิลด์คัพ 2014, ยูโร 2016, เวิลด์คัพ 2018 ฟินแลนด์ ไม่ได้เข้าใกล้การลุ้นตั๋วลุยรอบสุดท้ายเลย จะมีก็แต่ก่อนหน้านั้น ยูโร 2008 กับ เวิลด์คัพ 2010 ที่มีลุ้นตั๋วใบแรก แต่ก็มาพลาดในช่วงโค้งสุดท้าย
โดยเฉพาะ ยูโร 2008 ในช่วงเวลาที่ รอย ฮ็อดจ์สัน คุมทัพ เจอโจทย์สุดท้ายที่ต้องบุกชนะที่ เอสตาดิโอ โด ดราเกา แต่ทำดีที่สุดเพียงแค่บุกเสมอ โปรตุเกส 0-0 ทำให้พลาดตั๋วเข้ารอบสุดท้าย จากการตามหลังแค่สามแต้ม
แม้ก่อนหน้านี้ ฟินแลนด์ พอจะมีดาวดังในวงการฟุตบอลยุโรปอย่าง ยารี่ ลิทมาเน่น, ซามี่ ฮูเปีย, โยนาส คอล์คค่า, โยนาทาน โยฮันส์สัน แต่องค์ประกอบของทีมโดยรวม ยังไม่แข็งแกร่งพอเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ
ขณะที่ทีมชุดปัจจุบันไม่ได้มีดาวเด่นเหมือนในอดีต หมายความว่าที่ประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะทีมเวิร์ค และแท็กติกของเทรนเนอร์ มาร์คคู คาเนอร์ว่า ล้วนๆ
แต่นั่นก็คงไม่เพียงพอ หากไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยช่วยกัน
สองทีมเต็ง (ไม่นับ อิตาลี ที่ครองอันดับ 1 กลุ่มเจ) อย่าง กรีซ กับ บอสเนีย นัดกันฟอร์มตก จึงปล่อยให้ ฟินแลนด์ กวาด 12 คะแนนจาก 5 เกมในบ้าน แพ้ อิตาลี แค่เกมเดียว ที่เหลือชนะทั้ง กรีซ, อาร์เมเนีย, บอสเนีย และ ลิกเทนสไตน์
โดยเหตุผลหลักที่สำคัญที่สุดคือฟอร์มอันร้อนแรงของ ทีมู พุกกี้ กองหน้าที่กลับมาร้อนแรงตั้งแต่ย้ายมา นอริช ซิตี้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2018
จาก 10 ประตู ใน 62 เกม ในช่วงเวลา 9 ปี 2009-2017 ดูไม่มีแววว่า พุกกี้ จะกลายเป็นฮีโร่ของชาวฟินน์ได้ แต่พอเข้าสู่ปี 2018 ประตูเริ่มไหลมาเทมา 5 ประตูจาก 8 นัด และมาท็อปฟอร์มสุดขีดในปี 2019 ที่ยิง 9 ประตูจาก 9 เกม โดย 15 ประตูจาก 9 เกมในรอบคัดเลือกของ ฟินแลนด์ เป็นของ พุกกี้ ถึง 9 ลูก
หลังจากชัยชนะเหนือ ลิกเทนสไตน์ 3-0 ที่กรุงเฮลซิงกิ เมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ชาวฟินน์ทั้งที่เป็นแฟนบอลและประชาชนทั่วไปต่างเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ โดยไม่สนเกมสุดท้ายที่จะต้องบุกเยือน กรีซ ที่ เอเธนส์ ในคืนวันจันทร์
แม้จะเป็นความสำเร็จของ ฟินแลนด์ แต่ คาเนอร์ว่า รู้ดีว่าทีมชุดนี้ยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกมาก เพราะ 15 ประตูจาก 9 เกมในรอบคัดเลือก ถือเป็นการทำประตูที่้น้อยมาก และนอกจาก พุกกี้ ที่ยิง 9 ประตูแล้ว มีเพียง เฟรดริค เยนเซ่น ยิง 2 ประตู ที่เหลือยิงกันคนละลูกทั้ง โยเอล โพยานพาโล่, เบนจามิน คอลล์มัน, ไพรี่ ซอยรี่ และ ยาสเซ่ ทูโอมิเนน
เพราะหากยังไม่พัฒนาขึ้นจากเกมรอบคัดเลือก ฟินแลนด์ อาจกลายเป็นหมูให้ชาติอื่นๆ เชือดได้เมื่อถึงทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ยูโร 2020 ในช่วงกลางปีหน้า