แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเข้าสู่โหมดโปรแกรมเบาที่กุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะต้องพาทีมกวาดชัยชนะทั้งหมดอีก 6 เกมที่เหลือของปี 2019 ให้ได้
หลังจากชัยชนะในเกมเปิดฤดูกาลเหนือ เชลซี 4-0 สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะเพียงแค่เกมเดียวเหนือ เลสเตอร์ 1-0 จากแปดเกมในพรีเมียร์ลีก
"เรามีผลเสมอมากเกินไป ความพ่ายแพ้ก็ด้วย ผลเสมอที่เราน่าจะชนะได้" โซลชา อวดครวญเอาไว้ หลังจากสองเกมที่เสมอทีมน้องใหม่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-3 และ แอสตัน วิลล่า 2-2
สถานการณ์ของ โซลชา เวลานั้น เข้าสู่สภาวะที่กดดันสุดๆ ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่บุกแพ้ เวสต์แฮม 0-2 และ นิวคาสเซิ่ล 0-1 ในสองเกมเยือนช่วงเดือนกันยายนต่อตุลาคม
เมื่อมีขึ้น ก็ย่อมมีลง และเมื่อมีลง ก็ย่อมมีขึ้นเช่นกัน
จากชัยชนะเหนือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และอีกสามคะแนนจากเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เหนือคู่ปรับร่วมเมือง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสกอร์เดียวกัน ทำให้เก้าอี้ผู้จัดการทีมของ โซลชา ถูกเสริมด้วยเหล็กกล้า เหมือนอย่างที่บอร์ดบริหารของสโมสรเคยให้คำมั่นมาโดยตลอด
ในเมื่อเก็บ 6 คะแนนเต็มจากสองเกมใหญ่ที่เจอสองทีมในกลุ่ม 'บิ๊ก 6' มาได้ ตอนนี้แฟนๆ ผีแดง เริ่มฝันหวานถึงการกวาดชัยชนะรวดในทุกรายการตลอดเดือนธันวาคมกันแล้ว เมื่อมองดูโปรแกรมในช่วงที่เหลือของปี 2019
เริ่มจากเกมยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้าย ที่เปิดบ้านรับมือ อาแซด อัลค์มาร์ ทีมฮอลแลนด์ ที่พกเอาตำแหน่งรองจ่าฝูง เอเรดิวิซี่ มาเยือนโรงละครแห่งความฝัน
สถานการณ์ทั้งสองทีมต่างกอดคอกันเข้ารอบน็อกเอาท์ 32 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว แต่ยังต้องลุ้นการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มแอล ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ขอแค่เสมอ ก็เพียงพอแล้ว
แต่ โซลชา รู้ดีว่าเขาต้องปลูกฝังชัยชนะให้อยู่ในสายเลือดของลูกทีมชุดนี้ ไม่ว่าจะขนตัวสำรองหรือดาวรุ่งลงเล่นก็ตาม
หลังจากนั้นโปรแกรมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ยังคงอยู่ในบ้านเจอกับ เอฟเวอร์ตัน บอลเปลี่ยนโค้ชที่กำลังคึกคัก หลังจาก ดันแคน เฟอร์กูสัน ในฐานะเฮดโค้ชชั่วคราว นำลูกทีมอัด เชลซี 3-1 ในเกมแรกมาแล้ว
โซลชา มีประสบการณ์กับ เอฟเวอร์ตัน ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะช่วงท้ายฤดูกาลที่แล้ว พาทีมบุกแพ้ที่ กูดิสัน พาร์ค 0-4 กลายเป็นจุดเริ่มที่ไม่ชนะใครใน 5 เกมปิดท้ายซีซั่น
ประเด็นนั้น จะเป็นการกระตุ้น โซลชา และนักเตะได้เป็นอย่างดี
ถัดมาในช่วงกลางสัปดาห์ ถึงคิวถ้วยคาราบาวคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่จับสลากเจองานเบาที่สุด คือการลงเล่นในบ้านเจอกับ โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งเดียวจากลีกทู และเป็นทีมต่ำชั้นที่สุดที่หลุดมาถึงรอบนี้
แม้ โคลเชสเตอร์ ล้ม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาได้ในรอบสาม ที่ต้องเล่นถึงช่วงการดวลจุดโทษ แต่นั่นเป็นเพราะความประมาทของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และลูกทีม สเปอร์ส มากกว่าที่จะยกเครดิตให้ทีมจากลีกทู
ผ่านสามเกมในบ้านทั้งสามรายการ ก็ถึงเวลาเกมเยือนในพรีเมียร์ลีกที่ต้องบุกรัง วิคาเรจ โร้ด ของ วัตฟอร์ด ทีมบ๊วยที่จะถีบตัวเองไม่พ้นโซนแดงแน่เมื่อถึงเวลานั้น
ถือเป็นงานหนักของกุนซือใหม่ ไนเจล เพียร์สัน ที่จะเริ่มงานแรกเยือน แอนฟิลด์ ตามด้วยการเจอ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อ โซลชา จึงต้องเหยียบคู่แข่งให้จมดินแบบห้ามปราณีเด็ดขาด
เข้าสู่โปรแกรมบ็อกซิ่งเดย์ปีนี้กลับมาเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รอล้างแค้น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หลังจากนัดแรกที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ผีแดง เล่นกันแบบไม่มีระบบระเบียบ แล้วยังต้องมาเจอทีเด็ดลูกยิงไกลของ แม็ทธิว ลองสต๊าฟฟ์ ดาวรุ่งเจ้าถิ่นที่แจ้งเกิดในเกมนั้นอีก
และปิดฉากปี 2019 ที่ เทิร์ฟ มัวร์ รังของ เบิร์นลี่ย์ ที่ซีซั่นนี้มาตรฐานดร็อปลงไปพอสมควร แต่ โซลชา ก็คงไม่ลืมว่า ทีมของ ชอน ไดช์ เคยทำแสบเอาไว้ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เพราะเป็นทีมที่หยุดสถิติสวยหรู ชนะรวดในพรีเมียร์ลีกเอาไว้ที่ 6 เกม ในช่วงแรกที่เข้ามาคุมทีม
เท่ากับว่าตอนนี้ โซลชา เริ่มนับหนึ่งใหม่ไปแล้วตั้งแต่เกมเจอ สเปอร์ส และนับสองที่ แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ จากนี้ไปก็จะนับสาม สี่ ห้า ไปจนถึงแปด จนเปลี่ยนปฏิทินเป็นปี 2020
ต้องรอดูว่า โซลชา จะพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 8 เกมติดต่อกัน (รวมทุกรายการ) ได้อีกครั้งหรือไม่ เท่ากับสถิติเดิมของตัวเองที่เคยทำเอาไว้ตอนเข้ามาคุมทีมเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีที่แล้ว
