:::     :::

แพะรับบาป?

วันพุธที่ 08 มกราคม 2563 คอลัมน์ Football Therapy โดย บี้ เดอะสปา
2,087
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จากความพ่ายแพ้แบบหมดรูปคารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ฉบับบอลถ้วยคาราบาว จึงเป็นอีกเกมที่แฟนผี (ทั่วโลก) เสาะหาตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษ

ครั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยยังคงเป็น ฟิล โจนส์ ที่โดนรุมประชาทัณฑ์ไปเรียบร้อย จากบรรดาพวกที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนบอล หลบอยู่หลังแป้นพิมพ์

จะว่าไปแล้ว มีหลายเหตุการณ์ที่ โจนส์ สมควรโดนด่าในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้
แต่หากตัด 'อคติ' ที่มีต่อ โจนส์ ทิ้งไป จะมองเห็นว่าแผงหลังยกชุด มีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้ง แบรนดอน วิลเลียมส์, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ อารอน วาน-บิสซาก้า
บวกกับแดนกลาง อันเดรียส เปเรร่า กับ เฟร็ด ที่ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระของแนวรับเลย ทำให้แผงแบ็กโฟร์ต้องเจองานหนักในการรับมือกับแนวรุกของ ซิตี้ โดยเฉพาะครึ่งแรก
"นี่เพิ่งเป็นเกม 90 นาทีครั้งแรกของเขาในช่วงเวลาสักพักใหญ่ๆ เลยนะ"
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้สัมภาษณ์หลังจบเกม เป็นการปกป้อง โจนส์ ที่ยังเจอตะคริวเล่นงานในครึ่งหลัง ทั้งที่กุนซือชาวนอร์เวเจี้ยนก็โดนจัดหนักไม่แพ้กันทางโซเชียลมีเดีย หรือ 'สังคมจอมปลอม' ที่โจมตีตั้งแต่เรื่องมันสมองไปจนถึงอุปนิสัยส่วนตัว
ตามที่ โซลชา เอ่ยอ้าง นี่เพิ่งเป็นเกมแรกในฐานะตัวจริงของ โจนส์ นับตั้งแต่เกมบุกเสมอ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-3 ที่สนาม บรามอลล์ เลน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน
เกมนั้น โซลชา เลือกเล่นระบบปราการหลังตัวกลาง 3 คน โดยใช้ โจนส์ ร่วมกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ
โจนส์ ถูกตำหนิยับกับประตูแรกที่เสียให้เจ้าถิ่น ทั้งที่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สมควรเป็นการฟาวล์ของ ลีส มุสเซต์ มากกว่า เพราะเจตนาใช้แขนกระแทก โจนส์ ที่ถึงบอลก่อน รุนแรงเกินกว่าที่จะเป็น 'บอดี้เช็ค' แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนคำตัดสินจาก วีเออาร์ และแฟนผีก็พอใจที่จะด่านักเตะรายนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผลก็คือ โจนส์ ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง พร้อมปรับระบบการเล่นกลับมาใช้แผงแบ็กโฟร์ตามเดิม
นั่นคือเกมสุดท้ายของ โจนส์ ที่ได้ลงตัวจริง ก่อนถึงแมนเชสเตอร์ดาร์บี้แมตช์ เพราะอาการบาดเจ็บของ แม็กไกวร์ ทำให้ โซลชา ไม่มีทางเลือกในการจัดแนวรับ
มองกลับไปฤดูกาลที่แล้ว เมื่อครั้ง โซลชา เข้ารับตำแหน่งกุนซือ (ชั่วคราว) ต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่โดนไล่ออก หลังจบเกมแพ้ ลิเวอร์พูล ในช่วงกลางเดือนธันวาคม
โจนส์ นี่แหละที่มีส่วนสำคัญกับการประเดิมคุมทีมด้วยชัยชนะ 8 นัดแรกของเฮดโค้ชชาวนอร์เวเจี้ยน เพราะเป็นคู่เซนเตอร์คู่หลักจับคู่กับ ลินเดอเลิฟ ได้อย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่ง (โจนส์ ลงตัวจริง 6 นัด สำรอง 2 นัด)
นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้สโมสรตัดสินใจต่อสัญญาฉบับใหม่ยาวออกไปจนถึงปี 2023 (มีเงื่อนไขขยายเพิ่มอีก 1 ปี) ในช่วงเดือนแห่งความรักของปีที่แล้ว
หลังจากนั้น ช่วงเวลาอันหอมหวานของ โจนส์ กับ โซลชา ก็จบลง เพราะอาการบาดเจ็บ
และจากจุดนั้นที่ทำให้ โจนส์ ห่างหายจากการลงสนามไปนาน ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นกลับมาไม่เหมือนเดิม ซึ่งนักเตะหลายต่อหลายคนต่างเคยเผชิญเหตุการณ์แบบนี้กันมาแล้ว
หากลืมเรื่อง 'อคติ' แล้วหันมามองที่เรื่อง 'สถิติ' แฟนผีอาจเปิดใจมอง โจนส์ ในแง่มุมที่ดีขึ้น
มีการจดสถิติตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา หรือเข้าใจง่ายๆ นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว 2018-19 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงสนามไปแล้วทั้งสิ้น 85 เกม แบ่งเป็นเกมที่มี โจนส์ 30 เกม และเกมที่ไม่มี โจนส์ 55 เกม
เริ่มจากเกมที่ไม่มี โจนส์ 55 นัด ชนะ 23 เสมอ 15 แพ้ถึง 17 เทียบเปอร์เซนต์ชนะอยู่ที่ 42%
ขณะที่เกมมี โจนส์ 30 นัด ชนะถึง 17 เสมอ 6 แพ้ 7 เทียบเปอร์เซนต์ชนะอยู่ที่ 57%
ชัดเจนว่าตัวเลขชัยชนะเมื่อมี โจนส์ อยู่ในสนาม ดีกว่ามากทีเดียว
ผ่านไป 8 ปีครึ่งในโรงละครแห่งความฝัน แม้คำทำนายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยยกย่องและเห็นแววบางอย่างในตัว โจนส์ ตอนซื้อมาจาก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไม่เคยเป็นจริง และดูเหมือนจะไม่มีแววเป็นจริงในอนาคตด้วย
แต่ถึงอย่างไรแล้ว ฟิล โจนส์ ก็ไม่สมควรเป็นนักเตะที่โดนด่ามากกว่าคนอื่นๆ จากหนึ่งในเกมอัปยศยุค โซลชา ในฤดูกาลที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด