หลังจบเกมที่ 34 ของฤดูกาล ศึกแชมเปี้ยนชิพเริ่มมองเห็นความชัดเจนมากขึ้น กับการลุ้นสองอันดับแรก ที่มีตั๋วเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติเป็นเดิมพัน
ชัยชนะของจ่าฝูง เวสต์บรอมวิช 3-0 ที่ แอชตัน เกท บ้านของ บริสตอล ซิตี้
ชัยชนะของรองจ่าฝูง ลีดส์ เหนือ เร้ดดิ้ง 1-0 ใน เอลแลนด์ โร้ด บ้านตัวเอง
บวกกับผลการแข่งขันที่เป็นใจ เพราะ ฟูแล่ม อันดับ 3 บุกเสมอ ดาร์บี้ 1-1, เบรนท์ฟอร์ด อันดับ 4 เปิดบ้านเสมอ แบล็คเบิร์น 2-2 และ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ อันดับ 5 เปิดบ้านเสมอ ควีนส์ปาร์ค แบบไม่มีประตู
นั่นทำให้ เวสต์บรอมวิช ขยับหนีอันดับ 3 ออกไปเป็น 9 คะแนนแล้ว และ ลีดส์ ก็ฉีกโซนเพลย์ออฟออกไปเป็น 5 คะแนนด้วย ขณะที่เหลือ 12 เกมสุดท้ายของฤดูกาล 2019-20
จ่าฝูง เดอะ แบ็กกี้ส์ ของกุนซือ สลาเวน บีลิช ต้องเผชิญเดือนมกราคมอันเลวร้าย เพราะนับตั้งแต่การแพ้คาบ้านต่อ มิดเดิลสโบรช์ 0-2 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ซึ่งเป็นการแพ้นัดแรกในรอบ 15 นัด จากนั้น พวกเขาเก็บได้เพียง 2 คะแนนจาก 4 เกมในเดือนมกราคม ก่อนจะกลับสู่ชัยชนะในเดือนกุมภาพันธ์
และสามคะแนนที่ แอชตัน เกท ก็เป็นชัยชนะเกมที่ 4 จาก 5 นัดในเดือนนี้แล้ว
ด้วยขุมกำลังเดิมที่ดีอยู่แล้ว ถูกปรุงแต่งเพิ่มด้วย คัลลัม โรบินสัน กองหน้ากึ่งปีกที่ยืมมาจาก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคม เรื่องประสบการณ์ในแชมเปี้ยนชิพถือว่าหายห่วง เพราะโชกโชนมากับ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ โดยเฉพาะซีซั่นที่แล้วที่ยิง 12 ประตูจาก 27 เกมในชปช.
นาทีนี้จึงมีโอกาสสูงมากที่จะได้เห็น เวสต์บรอมวิช กลับสู่พรีเมียร์ลีกภายในระยะเวลาสองปีเท่านั้น หลังจากซีซั่นก่อนมีลุ้นจนถึงช่วงเพลย์ออฟ แต่จอดป้ายตั้งแต่รอบรองชนะเลิศ แพ้ต่อ แอสตัน วิลล่า ทีมที่เลื่อนชั้น
ขณะที่รองจ่าฝูง ลีดส์ กำลังอึดอัดและกดดันมากกว่าทุกทีมด้วยซ้ำ หลังจากประสบการณ์เลวร้ายจากซีซั่นก่อน ที่สลับกันนำจ่าฝูงอยู่กับ นอริช มาแบบยาวๆ ข้ามปี แต่พอเข้าสู่กลางเดือนมีนาคม หรือในช่วง 9 เกมสุดท้าย เกิดฟอร์มหลุดดื้อๆ แพ้ถึง 5 เกม ส่งผลให้เสียรองจ่าฝูงไปให้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ ยูงทอง ต้องหล่นมาเพลย์ออฟ ซึ่งก็แพ้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ตั้งแต่ด่านแรก
นั่นจึงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในหัวของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ ที่ตัดสินใจอยู่สู้ต่ออีกฤดูกาล รวมถึงแฟนบอลที่เสียวสันหลังวาบ ทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานี้ของฤดูกาลที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะเหนือ เร้ดดิ้ง 1-0 กลายเป็น 6 คะแนนเต็มในบ้าน 2 เกมหลังสุด หลังจากเริ่มต้นปี 2020 แบบไม่น่าจดจำ เมื่อแพ้ถึง 4 เกม และชนะเพียงนัดเดียวจาก 6 เกมแรก
ดังนั้น แฟนๆ ยูงทอง จึงตั้งความหวังเอาไว้สูงมากในฤดูกาลนี้ กับการเลื่อนชั้นคืนสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 หรือ 16 ปีที่แล้ว ที่ตกชั้นจากลีกสูงสุด และเคยเลวร้ายถึงขั้นร่วงลงสู่ลีกวันมาแล้ว ระหว่างฤดูกาล 2007-08 ถึง 2009-10
ปัจจัยสำคัญที่จะส่ง เวสต์บรอมวิช กับ ลีดส์ เลื่อนชั้นเร็วหรือช้า ก็คือบรรดาทีมตามที่นั่งอยู่ในโซนเพลย์ออฟที่ต่างมีคะแนนกระชั้นชิด ตั้งแต่อันดับ 3 ฟูแล่ม 57 คะแนน, อันดับ 4 เบรนท์ฟอร์ด อันดับ 5 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ และอันดับ 6 เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ที่มี 56 คะแนนเท่ากันหมด
แต่สิ่งที่ เวสต์บรอมวิช กับ ลีดส์ จะต้องโฟกัสมากที่สุดเป็นอันดับแรกนั่นก็คือผลงานของตัวเอง เพราะ แชมเปี้ยนชิพ คือลีกที่ยากจะคาดเดาผลการแข่งขันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ต่อให้มองดูความยากง่ายของโปรแกรมที่เหลือในซีซั่นนี้ไปก็เท่านั้น ตราบใดที่ เวสต์บรอมวิช เคยแพ้คาบ้านต่อสองทีมท้ายตารางอย่าง มิดเดิลสโบรช์ กับ สโต๊ค มาแล้ว เช่นกันกับ ลีดส์ ที่กำลังมาดีๆ แต่ก็มาพ่ายคารังต่อ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ กับ วีแกน แอธเลติก แบบง่ายๆ
ส่วนสถานการณ์ในโซนท้ายตารางก็แอบน่าสนใจเล็กๆ ที่ได้เห็นทีมที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกซีซั่นก่อน ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต้องดิ้นรนหนีตาย เช่นเดียวกับ สโต๊ค ที่ร่วงมาสองฤดูกาลที่แล้ว และ มิดเดิลสโบรช์ ที่หล่นมาเมื่อสามปีก่อนด้วย
