จากจุดสูงสุด แชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2016 นำไปสู่การย้ายทีมค่าตัวมหาศาล 35 ล้านปอนด์ในปีต่อมา แต่หลังจากนั้น กราฟชีวิตก็ค่อยๆ ดำดิ่งลงแบบฉุดไม่อยู่
จากหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนี้ชื่อของ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ กลายเป็นส่วนเกินของพรีเมียร์ลีก เพราะพฤติกรรมแย่ๆ ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือตัวเอง
นี่คือไทม์ไลน์ของกองกลางวัย 30 ปี จากสูงสุดลงสู่จุดต่ำสุดในชีวิต
เริ่มต้นในฝัน
ดริงค์วอเตอร์ ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายนักฟุตบอลอาชีพกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรในฝันของดาวรุ่งหลายต่อหลายคนที่อยากจะก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในทีมชุดใหญ่ร่วมกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เหมือนอย่างที่เคยปลุกปั้น ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม และใครต่อหลายคนมาแล้ว
แต่นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกให้ทีมชุดใหญ่ตอนอายุ 18 ดริงค์วอเตอร์ ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจาก เฟอร์กี้ เลย ถูกปล่อยยืมไปเล่นกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ในลีกวัน, คาร์ดิฟฟ์, วัตฟอร์ด และ บาร์นสลี่ย์ ในแชมเปี้ยนชิพ จนถึงเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจขายขาดไปให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2012
กลับสู่พรีเมียร์ลีก
สองฤดูกาลครึ่งที่ค้าแข้งอยู่ในถิ่น คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ดริงค์วอเตอร์ ผนึกกำลังร่วมกับ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, เวส มอร์แกน, เจมี่ วาร์ดี้, ริยาด มาห์เรซ ช่วยกันพา เลสเตอร์ ก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-15
แม้ซีซั่นแรกในลีกสูงสุดแบบเต็มตัวเต็มไปด้วยความยากลำบาก จิ้งจอกสีน้ำเงิน จมบ๊วยอย่างยาวนานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคม แต่ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนสุดท้ายที่คว้าชัยชนะ 7 จาก 9 นัดสุดท้าย เอาตัวรอดอยู่ในพรีเมียร์ลีกต่อไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ประเดิมทีมชาติ
ในฐานะดาวรุ่งจากรั้วอาคาเดมี่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ย่อมได้รับความสนใจจากทีมชาติอังกฤษชุดเล็กมากกว่าทีมอื่นเป็นธรรมดา แต่หลังจากรับใช้ทีมชาติชุดยู-18 และยู-19 ระหว่างปี 2007-2009 ดริงค์วอเตอร์ ก็ไม่เคยสัมผัสโอกาสในทีมชาติชุดที่สูงขึ้นอีกเลย
หลังจากมีฤดูกาล 2015-16 ที่ดีกับ เลสเตอร์ ชื่อของ ดริงค์วอเตอร์ จึงเข้าไปบรรจุอยู่ในทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน ในเดือนมีนาคมปี 2016 เป็นครั้งแรกกับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และเกิดขึ้นในเวลาสำคัญ นั่นคือช่วงเวลาก่อนการประกาศรายชื่อทีมชุดยูโร 2016
การประเดิมสนามที่น่าพอใจในเกมอุ่นเครื่องที่แพ้ ฮอลแลนด์ 1-2 ทำให้ ดริงค์วอเตอร์ ติดโผทีมชุดแรกที่ประกาศออกมา 26 คน แต่สุดท้ายก็เป็น 1 ใน 3 ที่ถูกตัดชื่อออกจากทีม 23 คนสุดท้ายลุยยูโร 2016
แม้ในปีเดียวกัน ดริงค์วอเตอร์ ยังได้โอกาสลงเล่นให้ สิงโตคำราม อีกสองเกม แต่นั่นคือสัมผัสสุดท้ายกับ ทรี ไลออนส์
แชมป์ประวัติศาสตร์
หลังจากเกือบตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ดริงค์วอเตอร์ ช่วยกันสร้างปาฏิหารย์ด้วยการพา เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16 อย่างเหลือเชื่อ จากการผนึกกำลังแดนกลางคู่กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และผลงานที่เข้าฝักในแดนหน้าของ เจมี่ วาร์ดี้, ริยาด มาห์เรซ และ ชินจิ โอกาซากิ
ชื่อของ ดริงค์วอเตอร์ จึงกลายเป็น 1 ใน 4 นักเตะเนื้อหอมร่วมกับ ริยาด มาห์เรซ, เจมี่ วาร์ดี้ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ถูกตามจีบอย่างหนักจากสโมสรยักษ์ใหญ่ แต่สุดท้ายมีเพียง ก็องเต้ ที่ขายไป เชลซี คนเดียว
สู่ เชลซี 35 ล้านปอนด์
นี่คือก้าวสำคัญของ ดริงค์วอเตอร์ หลังจากประสบความสำเร็จสูงสุดร่วมกับ เลสเตอร์ และอยู่ช่วยทีมลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกหนึ่งฤดูกาลไปแล้ว และยังถือเป็นการตอบแทนสโมสรด้วย เพราะการย้ายไป เชลซี วันสุดท้ายของตลาดซื้อขายซัมเมอร์ สามารถต่อรองค่าตัวได้สูงถึง 35 ล้านปอนด์
ดริงค์วอเตอร์ พกอาการบาดเจ็บติดตัวมาด้วย ขณะที่เซ็นสัญญา 5 ปี อยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้ลงประเดิมให้ เชลซี ได้ในเดือนตุลาคม แต่ซีซั่นแรกก็จบลงแบบไม่น่าประทับใจนัก เพราะอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอีก และสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อย
30 นาทีกับ ซาร์รี่
การมาของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ในฤดูกาล 2018-19 ดริงค์วอเตอร์ หวังว่าจะได้รับโอกาสมากขึ้นกว่ายุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ แต่ดูเหมือนจะเป็นงานหนักขึ้น เพราะกุนซือชาวอิตาเลียนหนีบ จอร์จินโญ่ มาจาก นาโปลี ด้วย
เกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ตามธรรมเนียมก่อนเริ่มต้นซีซั่น ดริงค์วอเตอร์ ได้ลงสำรอง โชว์ฝีเท้าให้ ซาร์รี่ ได้เห็นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ภาพรวมก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร แต่ถ้าถามว่า จุดเด่นอยู่ตรงไหน? ตอบได้เลยว่า หาไม่เจอ
ตลอดฤดูกาลเดียวของ ซาร์รี่ ดริงค์วอเตอร์ ไม่ได้ลงสัมผัสเกมพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ คาราบาวคัพ และยูโรปาลีก เลยแม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้น 30 นาทีจากเกมชิงโลห์การกุศล จึงเป็นช่วงเวลาเดียวในยุค ซาร์รี่
เมาแล้วขับ
ไหนๆ ก็เจอฤดูกาลที่เลวร้ายกับ ซาร์รี่ แล้ว เมาแม่งให้ยับเลยดีกว่า
เดือนเมษายน ปี 2019 ในช่วงท้ายฤดูกาลที่เพื่อนร่วมทีม เชลซี กำลังลุ้นหนักกับการรักษาอันดับโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และการลุ้นแชมป์ยูโรปาลีกในช่วงโค้งสุดท้าย แต่ ดริงค์วอเตอร์ ไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แล้วกลับออกมาในสภาพที่เมายับ
เรนจ์ โรเวอร์ ของ ดริงค์วอเตอร์ ที่มาพร้อมหญิงสาวรายหนึ่ง ชนอัดกำแพงและมีรถยนต์อีกคันได้รับความเสียหาย โชคดีที่ทั้งสามคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุ จากโชคดีของกองกลาง เชลซี ก็กลายเป็นโชคร้ายทันที
สภาพที่เห็น ไม่ต้องเป่า ก็รู้ว่าเมาแน่นอน และจากเหตุการณ์นี้ ดริงค์วอเตอร์ โดนยึดใบขับขี่นานถึง 20 เดือน และต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดอีก 50,000 ปอนด์ หรือราวๆ 2 ล้านบาท
วิวาทที่ไนท์คลับ
หลังเจอคดีเมาแล้วขับ เชลซี ก็ไม่เอาไว้ ปล่อยไปให้ เบิร์นลี่ย์ ยืมใช้งาน 6 เดือนแรกของฤดูกาล 2019-20
ดริงค์วอเตอร์ ประเดิมสนามกับ เบิร์นลี่ย์ ในเกมคาราบาวคัพ วันที่ 28 สิงหาคม แต่หลังจากนั้นเพียงสามวัน อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษก็ก่อเรื่องงามหน้าขึ้นอีก ขณะที่ไปเที่ยวไนท์คลับในเมืองแมนเชสเตอร์อีกครั้ง
ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ดริงค์วอเตอร์ พยายามตามจีบแฟนของนักฟุตบอลรายหนึ่ง แม้มีคนคอยห้ามปรามหลายครั้ง แต่ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล จึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ เปิดฉากเฮดบัตต์ใส่คู่แข่งก่อน สุดท้ายเจอสวน และยังถูกการ์ดลากตัวออกไปกระทืบด้านนอกอีกชุดใหญ่ จนหน้าแหก แถมยังเอ็นข้อเท้าฉีก ต้องพักยาวอีก
จากเหตุการณ์นี้ เบิร์นลี่ย์ ไม่ได้ดำเนินการลงโทษใดๆ เพราะถือเป็นนักเตะในสังกัดของ เชลซี เพียงแต่ไม่ต่อสัญญายืมตัวเพิ่มเมื่อถึงเดือนมกราคม
เฮดบัตต์ในสนามซ้อม
ดริงค์วอเตอร์ โชคดีแค่ไหน ที่ แอสตัน วิลล่า หยิบยื่นโอกาสครั้งสำคัญให้ เมื่อยื่นข้อเสนอขอยืมตัวในช่วงครึ่งซีซั่นหลังจาก เชลซี หลังหมดสัญญายืมตัวกับ เบิร์นลี่ย์ เพียงวันเดียว
ดีน สมิธ ผู้จัดการทีม วิลล่า พูดถึงการเซ็นสัญญาครั้งนี้ โดยหวังว่า ดริงค์วอเตอร์ จะทิ้งเหตุการณ์เลวร้ายทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเริ่มต้นใหม่ในการกลับสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง เฉกเช่นซีซั่น 2015-16
แต่หลังจากได้ลงเล่นเพียง 4 เกม ดริงค์วอเตอร์ ก็ทำท่าว่าจะหมดอนาคตในถิ่น วิลล่า พาร์ค อีกที่เสียแล้ว หลังจากควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ใช้ศีรษะโขกใส่ โฆต้า เพื่อนร่วมทีมในสนามซ้อม จน สมิธ ไล่กลับบ้านทันที
แอสตัน วิลล่า และ สมิธ ยังไม่มีการให้ความเห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฟันธงได้เลยว่า ดริงค์วอเตอร์ หมดอนาคตไปเรียบร้อย และน่าจะยุติสัญญายืมตัว ส่งกลับ เชลซี ในทันที
ถึงตอนนี้เริ่มมองเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ดริงค์วอเตอร์ ไม่ดีพอที่จะเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกต่อไปอีกแล้ว ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของ เชลซี ว่าจะทำอย่างไรกับสัญญาที่เหลืออยู่จนถึงปี 2022