เหลือเวลาอีกเพียง 34 วัน ก็จะครบหนึ่งปีเต็ม กับการเดินทางของ วูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในฤดูกาล 2019-20 ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มากมาย
ชัยชนะเหนือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม คือเกมที่ 49 ในซีซั่นนี้ของ วูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส แล้ว ขณะที่บางทีมในพรีเมียร์ลีกเล่นไปเพียง 32 เกมเท่านั้น
และเมื่อบวกกับโปรแกรมที่เหลือ ลูกทีมของ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ จะต้องเล่นแน่ๆ 58 เกม และอาจทะลุ 60 ได้ หากผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ที่จะเล่นแบบน็อกเอาท์เกมเดียวตั้งแต่รอบ 8 ทีมเป็นต้นไป
การจบอันดับ 7 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ถือเป็นผลงานที่น่าทึ่งสำหรับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นมาจาก แชมเปี้ยนชิพ และซีซั่นถัดมาจะเป็นบททดสอบสำคัญกับการรักษามาตรฐานที่สร้างเอาไว้ บวกกับโปรแกรมที่จะต้องเล่นเกม ยูโรปา ลีก ตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบสอง
นูโน่ ต้องเรียกลูกทีมกลับมาฝึกซ้อมเร็วกว่าทีมอื่น เพราะเตรียมพร้อมสำหรับนัดแรกของฤดูกาล ในการเจอกับ ครูเซเดอร์ส ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม
จนถึงตอนนี้ วูล์ฟส์ ฟันฝ่ารอบคัดเลือกมา 6 เกม รอบแบ่งกลุ่มอีก 6 เกม และรอบน็อกเอาท์มาแล้ว 3 เกม (กำลังรอเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง) ถือเป็นการเดินทางที่แสนยาวไกล โดยมีเป้าหมายที่แอบหวังลึกๆ คือ แชมป์
นูโน่ รู้ดีว่าการผจญภัยในถ้วยยุโรป อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำผลงานให้ดีในพรีเมียร์ลีก กับการต้องเล่นเกมวันพฤหัสบดี ต่อด้วยวันอาทิตย์ และการเดินทางแบบ 'นอน-สต็อป'
เห็นได้จาก เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลถัดจากที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก พวกเขาคว้าชัยชนะเกมพรีเมียร์ลีกได้เพียง 5 จาก 25 เกมแรกเท่านั้น ส่งผลให้ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ต้องถูกไล่ออก นั่นเป็นเพราะ จิ้งจอกสีน้ำเงิน ไปเอาดีใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ล้ม เซบีย่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทะลุไปแพ้ แอตเลติโก มาดริด รอบ 8 ทีมสุดท้าย
และซีซั่นนี้ วูล์ฟส์ ก็ทำท่าว่าจะเป็นเช่นนั้น หลังจากออกสตาร์ตพรีเมียร์ลีก 6 เกมแรก ชนะไม่เป็น เสมอ 4 แพ้ 2 หล่นไปนั่งเล่นอยู่ตำแหน่งรองบ๊วยของตาราง
แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมา คือการล้ม โตริโน่ ในรอบเพลย์ออฟ ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม ที่การันตีได้เล่นแน่ๆ 6 เกม
นูโน่ ค่อยๆ ประคองสถานการณ์ในทุกรายการได้ดี ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีก 11 เกมติดต่อกัน ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึง 8 ธันวาคม แต่ก็ต้องแลกกับการทิ้งถ้วย คาราบาวคัพ กับการจัดทีมชุดสองลงสนาม เช่นเดียวกับ เอฟเอคัพ ในช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ยื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึงนัดรีเพลย์
ชัยชนะที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ทำให้ วูล์ฟส์ เริ่มต้นนับถึง 6 อีกครั้งกับการไม่แพ้ใคร (ชนะ 3 เสมอ 3) และเป็นการเก็บคลีนชีตถึง 5 เกมใน 6 เกมหลังสุดด้วย
ที่สำคัญสามคะแนนนี้ทำให้พวกเขาขยับขึ้นสู่อันดับ 6 มีแต้มเท่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 5 และไล่ล่าพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ลีก อันดับ 4 ของ เชลซี อย่างเต็มตัว
จากประตูแรกที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ของ ราอูล ฮีเมเนซ คือประตูที่ 23 จาก 45 เกมรวมทุกรายการในซีซั่นนี้แล้ว และเป็นประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก กลายเป็นสถิติใหม่ นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกหนึ่งฤดูกาลของสโมสร
และจากประตูนี้ยังเป็นการประสานงานร่วมกันระหว่าง ราอูล ฮีเมเนซ กับ อาดาม่า ตราโอเร่ ประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีกแล้ว มากที่สุดในบรรดาทุกคู่ของพรีเมียร์ลีก เพราะที่ตามมาคือ เซร์คิโอ อเกวโร่ กับ เควิน เดอ บรอยน์ 6 ประตู
ส่วนประตูที่สองที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ของ เปโดร เนโต้ มาจากการแอสซิสต์ของวิงแบ็กขวา แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ เป็นแอสซิสต์ที่ 7 นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เมื่อรวมกับ 8 ประตูที่ยิงได้ จึงมีส่วนร่วมกับประตูถึง 15 ลูก
หากนับเฉพาะกองหลัง โดเฮอร์ตี้ ถือเป็นรองแค่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (27 ประตู) กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (19 ประตู) เพียงสองคน
นอกจาก ราอูล ฮีเมเนซ, อาดาม่า ตราโอเร่, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ แล้ว ดีโอโก้ โชต้า ก็มีบทบาทสำคัญในการผลิตประตู เช่นเดียวกับสองกองกลางที่ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระอย่าง รูเบน เนเวส กับ ชูเอา มูตินโญ่ ด้วย
นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ วูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ เดินทางมาได้ไกลในฤดูกาลนี้ และแน่นอนว่าเป้าหมายต่อจากนี้ คือการไล่ล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกแข่งกับ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะเดียวกันก็ต้องการผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโรปา ลีก อย่างน้อยๆ คือการเข้าไปเล่นทัวร์นาเมนต์ที่ เยอรมนี
