ยุคปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่มหาอำนาจในการปลุกปั้นดาวรุ่งเหมือนในอดีต เพราะถูก เชลซี กับ อาร์เซน่อล แซงหน้าไปแล้วในฐานะนักปั้นเด็ก
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การที่ดาวรุ่งจากอาคาเดมี่จะก้าวเท้าขึ้นสู่ชุดใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางทีแค่ฝีเท้าอย่างเดียวไม่พอ มันต้องขึ้นอยู่กับวาสนา และช่วงจังหวะของชีวิตด้วย
บางคนไม่เคยได้สัมผัสทีมชุดใหญ่ แต่ก็ไปแจ้งเกิดกับสโมสรอื่นได้ บางคนเคยสัมผัสทีมชุดใหญ่มาแล้ว แต่ก็ยืนระยะไม่ได้ จนต้องถูกปล่อยตัวออกไปในที่สุด
ฤดูกาลปัจจุบัน 2019-20 ยังคงมีอดีตนักเตะเยาวชนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค้าแข้งอยู่ในพรีเมียร์ลีกหลายต่อหลายคน โดยตอนแรกที่พูดถึงไปแล้วคือ ไมเคิ่ล คีน, ดไวท์ แม็คนีล, แดนนี่ เวลเบ๊ค และ ทอม ฮีตัน
โจชัว คิง
ในช่วงเวลาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีม ปีศาจแดง ประสบความยิ่งใหญ่ ในปี 2008 มีการเซ็นสัญญากับศูนย์หน้าดาวรุ่งลูกครึ่งนอร์เวย์-แกมเบีย ที่แจ้งเกิดกับทีมชาตินอร์เวย์ ชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี
โจชัว หรือ จอช คิง ถูกสโมสรใหญ่ของประเทศ วาเลเรนก้า ดึงตัวไปปลุกปั้นจากสโมสรเล็กๆ รอมซาส แต่ก็อยู่ได้สองปี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ดึงตัวไปปลุกปั้นต่อ โดยเซ็นสัญญาตอนอายุครบ 16 ปีเต็ม
หลังย้ายมาอยู่อาคาเดมี่ ยูไนเต็ด เพียงปีเดียว ก็ถูก เซอร์ อเล็กซ์ ดึงตัวไปโชว์ฝีเท้าในทีมชุดใหญ่ และจับลงเล่นเกมลีกคัพเป็นการประเดิมสนาม แต่การจะขึ้นมาปักหลักในทีมชุดใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ตลอดช่วงเวลา 4 ปี คิง ถูกปล่อยไปให้ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์, โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค, ฮัลล์ ซิตี้ และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ยืมใช้งาน และสุดท้ายก็ตัดสินใจขายขาดไปให้ กุหลาบไฟ ในฤดูกาล 2012-13
จากนั้นก็มาอยู่กับ บอร์นมัธ ตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปัจจุบัน
แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์
กองกลางชาวเมืองแมนเชสเตอร์แท้ๆ เข้ารังอาคาเดมี่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ก่อนได้สัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรในปี 2006 และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ให้โอกาสในทีมชุดใหญ่ในอีกสองปีต่อมา
แต่การถูกเรียกสู่ทีมชุดใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่า ดริงค์วอเตอร์ จะได้รับโอกาสจาก เฟอร์กี้
ดริงค์วอเตอร์ ถูกส่งไปเพาะบ่มประสบการณ์กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์, คาร์ดิฟฟ์, วัตฟอร์ด, บาร์นสลี่ย์ จนในที่สุด ก็สอบไม่ผ่านในสายตา เซอร์ อเล็กซ์ และถูกขายไปให้ เลสเตอร์ ซิตี้
ปรากฏการณ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ ดริงค์วอเตอร์ มีส่วนสำคัญในการพา เลสเตอร์ เลื่อนชั้นในอีก 2014 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเหลือเชื่อในอีกสองปีต่อมา
ประตูสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เปิดกว้าง และการย้ายทีมครั้งใหญ่ในชีวิตไปสู่ เชลซี ก็เกิดขึ้นในปีต่อมา ด้วยราคามหาศาล 30 ล้านปอนด์
แต่ ดริงค์วอเตอร์ ดับสนิทในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ จนต้องปล่อยไปให้ เบิร์นลี่ย์ และ แอสตัน วิลล่า ยืมใช้งาน และความล้มเหลวก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งคดีก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ไนท์คลับ และเฮดบัตต์ใส่เพื่อนร่วมทีมในสนามซ้อม
ฟิล บาร์ดสลี่ย์
8 ขวบเป็นช่วงเวลาที่ ฟิล บาร์ดสลี่ย์ เข้ามาสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนกระทั่ง 7 ปีต่อมา ก็กลายเป็นสมาชิกขาประจำของทีมชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ก่อนขยับสู่ชุดยู-19 ในอีกสองปีต่อมา
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่งไปเพาะบ่มฝีเท้าอยู่กับ รอยัล อันท์เวิร์ป, เบิร์นลี่ย์, เรนเจอร์ส, แอสตัน วิลล่า, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยที่ซีซั่น 2005-06 เป็นซีซั่นที่ดีที่สุดของ บาร์ดสลี่ย์ เพราะได้รับโอกาสลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก 8 นัด และจบฤดูกาลที่ 15 เกมรวมทุกรายการ
ในที่สุดเส้นทางในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็จบลงในปี 2008 เมื่อปล่อยตัวถาวรให้กับ ซันเดอร์แลนด์ และเล่นอยู่ในถิ่น สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ 7 ฤดูกาล จากนั้นก็ย้ายไป สโต๊ค และมาลงเอยอยู่กับ เบิร์นลี่ย์ ตั้งแต่ปี 2017 มาจนถึงปัจจุบัน
เคร็ก แคธคาร์ท
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงตัว เคร็ก แคธคาร์ท ในวัย 16 ปี มาจาก เซนต์ แอนดรูว์ส บอยส์ คลับ เพื่อมาปลุกปั้นต่อในทีมเยาวชนของ ปีศาจแดง
เพียงสองปีต่อมา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้โอกาสเรียก แคธคาร์ท ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แต่ดีที่สุดคือการมีชื่อนั่งสำรอง (ไม่ได้ลงสนาม) ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกที่ถล่ม โรม่า 7-1 และเอฟเอคัพ ในอีกไม่กี่วันต่อมา โดยปีนั้นชื่อของ แคธคาร์ท คว้ารางวัล จิมมี่ เมอร์ฟี่ ยัง เพลย์เนอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ หรือรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร
หลังจากนั้นการเดินทางก็เกิดขึ้น เมื่อ แคธคาร์ท ถูกส่งไปฝึกปรือต่อที่ รอยัล อันท์เวิร์ป, พลีมัธ อาร์ไกล์ และ วัตฟอร์ด จนกระทั่งปี 2010 แบล็คพูล ที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ก็ซื้อขาดร่วมทัพด้วยระยะเวลาสามปี
แม้ย้ายไปเพียงซีซั่นเดียว แบล็คพูล ก็ตกชั้นสู่แชมเปี้ยนชิพ แต่ แคธคาร์ท ก็ย้ายไป วัตฟอร์ด ในปี 2014 และเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกตั้งแต่ปี 2015 และเข้าๆ ออกๆ ทีมตัวจริงของ เดอะ ฮอร์เนตส์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
*อ่านต่อตอนต่อไป