"นี่คือช่วงเวลาแห่งความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมของวงการฟุตบอลเยอรมัน เรายินดีที่ไม่ได้มีแค่สองทีมเยอรมันในรอบรองชนะเลิศ แต่ยังมีโค้ชเยอรมันถึงสามคน"
คำพูดจาก โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมัน ที่ปัจจุบันยังคงนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน หลังจบเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สามโค้ชที่ เบียร์โฮฟ พูดถึงคือ ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค ของ บาเยิร์น มิวนิค, โธมัส ทูเคิ่ล ของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ ของ แอร์เบ ไลป์ซิก
ฤดูกาล 2019-20 จึงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่ได้เห็นสองเทรนเนอร์ชาวเยอรมันอยู่ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อจาก ยุปป์ ไฮน์เกส ที่พา บาเยิร์น มิวนิค เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่สังเวียน เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
จากความยิ่งใหญ่ของโค้ชชาวสเปน, โค้ชชาวอิตาลี ถึงตอนนี้กำลังจะเป็นช่วงเวลาของโค้ชชาวเยอรมัน ที่วางรากฐานกันมาอย่างแข็งแกร่ง และผลิดอกออกผลไปทั่ววงการฟุตบอลแล้ว
ไม่ใช่แค่ ฟลิค, ทูเคิ่ล, นาเกิลส์มันน์ แต่ยังรวมถึง คล็อปป์ ที่จบหลักสูตรการเรียนโค้ชและได้ใบอนุญาตการฝึกสอนฟุตบอลจาก 'เฮนเนส-ไวส์ไวเลอร์ อาคาเดมี่' สถาบันอันดับหนึ่งของ เดเอฟเบ
'เฮนเนส-ไวส์ไวเลอร์ อาคาเดมี่' ถูกตั้งตามชื่อของ เฮนเนส ไวส์ไวเลอร์ ตำนานนักเตะและโค้ชของ เอฟเซ โคโลญจน์ ผู้ล่วงลับไปเมื่อ 37 ปีที่แล้ว และเป็นอาจารย์ของ ไฮน์เกส เช่นกันที่ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
โค้ชที่จบจากโรงเรียนแห่งนี้ ใช้เวลา 11 เดือนในการเพาะบ่มวิชาความรู้ และเป็นมาตรฐานเดียวกันมาช้านาน ดังนั้นความสำเร็จที่ได้เห็นจาก คล็อปป์, ฟลิค, ทูเคิ่ล และ นาเกิลส์มันน์ จึงไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแต่อย่างใด
ในฐานะนักฟุตบอล ฟลิค ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แม้เคยเล่นกับ บาเยิร์น มิวนิค และ โคโลญจน์ แต่ก็ต้องแขวนสตั๊ดตั้งแต่อายุ 27 ปี เพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
หลังจากนั้น ฟลิค และภรรยา เปิดร้านอุปกรณ์กีฬา แต่ฟุตบอลที่อยู่ในสายเลือด ทำให้เขาเริ่มต้นงานโค้ชกับ วิคตอเรีย บามเมลทาล ทีมระดับสมัครเล่น จากนั้นก็ก้าวไปคุม โฮฟเฟนไฮม์ ในปี 2000 พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกระดับดิวิชั่น 4 และสามปีหลังจากนั้น ฟลิค ก็จบหลักสูตรการเรียนโค้ชจาก 'เฮนเนส-ไวส์ไวเลอร์ อาคาเดมี่'
การเดินทางของ ฟลิค เริ่มต้น เมื่อย้ายไปเป็นผู้อำนวยการกีฬาและเป็นผู้ช่วย โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ตำนานโค้ชชาวอิตาเลียน ที่สโมสร เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในออสเตรีย ก่อนกลับมาเพิ่มเติมวิชากับ โยอัคคิม เลิฟ ในฐานะมือขวาของเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมัน ที่ได้สัมผัสแชมป์โลกร่วมกันใน เวิลด์คัพ 2014
ฟลิค ขยับมานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการกีฬาของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมันหลังจบทัวร์นาเมนต์ที่ บราซิล เรื่อยมาจนถึงต้นปี 2017 ก่อนเข้ามาทำงานที่ บาเยิร์น ในฐานะมือขวาของ นิโก้ โควัช ก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2019-20
แม้ประสบการณ์การทำงานคุมทีมเต็มตัว มีเพียงแค่ 5 ปีกับ โฮฟเฟนไฮม์ ในลีกรอง แต่ บาเยิร์น ก็เชื่อมั่นในประสบการณ์การเป็นมือขวาของ เลิฟ มาอย่างยาวนาน 8 ปี และตอนนี้ ฟลิค ก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยแชมป์บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และอาจจะมี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามมาอีกโทรฟี่ด้วย
แต่ถ้วยใบสุดท้าย ทูเคิ่ล คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นง่ายๆ
ทูเคิ่ล อายุน้อยกว่า ฟลิค 9 ปี แต่สิ่งที่ล้มเหลวเหมือนกันคือเส้นทางสายนักฟุตบอลที่ไปไม่ถึงไหนกับ สตุ๊ตการ์ท คิกเกอร์ส และ เอสเอสเฟา อูล์ม จนต้องเลิกเล่นตั้งแต่อายุ 25 เพราะอาการบาดเจ็บรุนแรง
ในวัย 27 ทูเคิ่ล เริ่มต้นลุยงานโค้ชในฐานะโค้ชทีมเยาวชนของ เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท ที่มีส่วนผลักดันนักเตะหลายคนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่และสร้างชื่อเสียงในเวลาต่อมา อาทิ มาริโอ โกเมซ, โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์
หลังจากจบหลักสูตรที่ 'เฮนเนส-ไวส์ไวเลอร์ อาคาเดมี่' ในปี 2006 งานแรกในฐานะโค้ชทีมชุดใหญ่เกิดขึ้นที่ เอาก์สบวร์ก II ในลีกรอง ซึ่งผลงานตอนนั้นเข้าตาหลายทีมบุนเดสลีกา จนสุดท้ายเป็น ไมนซ์ ที่คว้าตัว ทูเคิ่ล ไปคุมทีมในปี 2009 หรือหนึ่งปีหลังจาก คล็อปป์ ขยับไปคุม ดอร์ทมุนด์
เส้นทางโค้ชของ ทูเคิ่ล ยังคงลอกเลียนแบบ คล็อปป์ เพราะหลังจาก คล็อปป์ ย้ายไปคุม ลิเวอร์พูล ในปี 2015 ดอร์ทมุนด์ ก็เลือก ทูเคิ่ล เข้ามานั่งเก้าอี้ต่อ หลังจากขอแยกทางกับ ไมนซ์ ได้หนึ่งปี
ความสำเร็จเดียวของ ทูเคิ่ล ที่ ดอร์ทมุนด์ คือแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ซีซั่น 2016-17 ซึ่งเป็นโทรฟี่แรกของเจ้าตัวด้วย แต่หลังจากรอบชิงบอลถ้วยได้สามวัน ก็โดนไล่ออก
ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง จึงเป็นความท้าทายใหม่ของ ทูเคิ่ล ที่แชมป์ลีกเอิง, เฟร้นช์คัพ, เฟร้นช์ลีกคัพ อาจไม่ได้รับประกันความสำเร็จในถิ่น ปาร์ก เดส์ แปร็งส์ เท่ากับผลงานในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ผลงานของโค้ชชาวเยอรมันในเวทียุโรปฤดูกาลนี้ จึงถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของ 'เฮนเนส-ไวส์ไวเลอร์ อาคาเดมี่' ที่จะมีผลผลิตได้ชูโทรฟี่ใบโตเป็นปีที่สองติดต่อกันอย่างแน่นอน