'เบอร์เสื้อ' ยังคงเป็นที่ปรารถนาของนักฟุตบอล ทุกๆ ฤดูกาลจึงมีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขเกิดขึ้นกับทีมต่างๆ ไม่มากก็น้อย และซีซั่น 2020-21 ก็เช่นกัน
เมื่อหมายเลขสวยๆ โดยเฉพาะ 1-11 เกิดว่างลง มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเบอร์เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าใครจะขอเปลี่ยนก็ได้ นักเตะคนนั้นๆ จะต้องพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าดีพอสำหรับเบอร์ที่ต้องการ
ดาวรุ่งหลายต่อหลายคนก็ค่อยๆ ขยับขยายจากหมายเลขเยอะๆ ลดลงมาเหลือหมายเลขน้อยๆ บางคนฉายแววโดดเด่นพอที่จะหยิบจับเบอร์สวยๆ
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่จะสนใจเรื่องแบบนี้ เพราะอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวา ลิเวอร์พูล ใช้เบอร์ 66 ยังไงก็อยู่อย่างนั้น หรือ ฟิล โฟเด้น กองกลาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังใส่หมายเลข 47 จนถึงปัจจุบัน
และนี่คือส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเบอร์เสื้อสวยๆ ที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020-21
บูคาโย่ ซาก้า (จาก 77 เป็น 7)
38 เกมรวมทุกรายการกับ อาร์เซน่อล เมื่อฤดูกาลที่แล้ว บูคาโย่ ซาก้า ยิงไป 4 ประตูกับ 12 แอสซิสต์ เป็นอันดับหนึ่งเรื่องการจ่ายบอลให้เพื่อนพังประตู
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดาวรุ่งที่เพิ่งอายุครบ 19 เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน ปรับเปลี่ยนจากเบอร์ 77 มาใส่เบอร์ 7 ที่ว่างลง หลังจากเขี่ย เฮนริค มคิทาร์ยาน ไปอยู่ โรม่า แบบถาวร
ไทโรน มิงส์ (จาก 40 เป็น 5)
เอซรี่ คอนซ่า (จาก 15 เป็น 4)
สองกองหลังตัวหลักของ แอสตัน วิลล่า ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพาทีมของ ดีน สมิธ รอดตกชั้นแบบหวุดหวิด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทั้ง ไทโรน มิงส์ และ เอซรี่ คอนซ่า
มิงส์ พกดีกรีทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบัน ลงเล่นไป 36 เกมรวมทุกรายการ เปลี่ยนจากเบอร์ 40 มาสวมเบอร์ 5 ที่เคยเป็นของ เจมส์ เชสเตอร์ มาก่อน ขณะที่ คอนซ่า ลงเล่นทะลุ 30 เกมรวมทุกรายการเช่นกัน ก็ขยับจากเบอร์ 15 มาเป็นเบอร์ 4 เบอร์เก่าของ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ที่หมดสัญญายืมตัว
คริสเตียน พูลิซิช (จาก 22 เป็น 10)
การย้ายมาของ คริสเตียน พูลิซิช เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มิดฟิลด์อเมริกันเลือกเบอร์ 22 เบอร์ที่เคยใส่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แทนที่ วิลเลียน ที่ขยับจากเบอร์ 22 ไปใช้เบอร์ 10
และการอำลาทีมของ วิลเลียน ในซีซั่นนี้ก็ทำให้เบอร์ 10 ว่างลง ทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้เป็นกุนซือ เป็นคนเสนอมอบ 'No.10' ให้กับ พูลิซิช ด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ใครจะกล้าปฏิเสธ?
อารอน คอนนอลลี่ (จาก 44 เป็น 7)
ซีซั่นที่แล้วเป็นปีแรกที่ อารอน คอนนอลลี่ ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ของ ไบรท์ตัน และพุ่งขึ้นสู่ทีมชาติไอร์แลนด์ชุดใหญ่ด้วยวัยไม่เพียง 20 ปี ในบทบาทกองหน้ากึ่งปีกที่มี 4 ประตูจาก 27 เกมรวมทุกรายการ
เริ่มต้นฤดูกาลนี้ นีล โมเปย์ กองหน้าตัวหลักของทีม เปลี่ยนจากเบอร์ 7 ไปใช้เบอร์ 9 ทำให้ คอนนอลลี่ ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต ขยับจากเบอร์ 44 พรวดเดียวมาสวมเบอร์ 7 พร้อมเป็นตัวหลักคู่ โมเปย์
เคอร์ติส โจนส์ (จาก 48 เป็น 17)
ในบรรดาทีมชุดเด็กของ ลิเวอร์พูล ที่ลงเล่นบอลถ้วยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มเข้าตา เจอร์เก้น คล็อปป์ มากที่สุดก็คือ เคอร์ติส โจนส์ ที่ตอนนั้นอายุเพิ่ง 18 ปี
จบฤดูกาลที่แล้ว โจนส์ มีผลงานที่ดียิง 3 ประตูจาก 12 เกมรวมทุกรายการ ทำให้มีการต่อสัญญาระยะยาวเกิดขึ้นเมื่อช่วงซัมเมอร์ และซีซั่นใหม่ก็เปลี่ยนจากเบอร์ 48 มาใช้เบอร์ 17 ที่เคยเป็นของตำนาน สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ สตีฟ แม็คมานามาน มาก่อน
เจมส์ วอร์ด-พราวส์ (จาก 16 เป็น 8)
เนธาน เร้ดมอนด์ (จาก 22 เป็น 11)
โอริโอล โรเมอู (จาก 14 เป็น 6)
ไรอัน เบอร์ทรานด์ (จาก 21 เป็น 3)
ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส (จาก 24 เป็น 2)
เซาธ์แฮมป์ตัน มีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขเสื้อเกิดขึ้นเยอะในฤดูกาล 2020-21 เพราะหมายเลขสวยๆ อย่าง 2, 3, 6, 8, 11 ว่างอยู่ตั้งแต่ฤดูกาลก่อนแล้ว
ดังนั้นจึงได้เห็นแบ็กขวา ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ที่เซ็นถาวรจาก สเปอร์ส ปรับจากเบอร์ 24 มาใช้เบอร์ 2, แบ็กซ้าย เบอร์ทรานด์ ขยับจากเบอร์ 21 มาใส่เบอร์ 3, กองกลางตัวรับ โรเมอู เปลี่ยนจาก 14 มาใช้เบอร์ 6, กองกลางตัวทำเกม วอร์ด-พราวส์ เปลี่ยนจากเบอร์ 16 เป็นเบอร์ 8 พร้อมรับปลอกแขนกัปตันคนใหม่ด้วย และปีกตัวจี๊ด เร้ดมอนด์ เปลี่ยนจาก 22 มาใส่เบอร์ 11
เมสัน กรีนวูด (จาก 26 เป็น 11)
เบอร์ 11 ของตำนาน ไรอัน กิ๊กส์ ที่ใช้มานานตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของพรีเมียร์ลีก ถูกมอบให้ อัดนาน ยานูซาย ปีกดาวรุ่งเป็นคนแรก แต่ถึงกับหลุดฟอร์มเก่งจนต้องย้ายทีม จากนั้นก็มาถึงมือ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ต้องสละเบอร์ 9 มาใส่เบอร์ 11 แก้ขัด เพราะการมาของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
แต่หลังผ่านไปสามฤดูกาล มาร์กซิยาล ก็กลับมาใส่เบอร์ 9 เหมือนเดิมตั้งแต่เริ่มซีซั่นที่แล้ว ทำให้เบอร์ 11 ไม่มีใครใช้งานตลอดทั้งฤดูกาล
และด้วยผลงานการถล่มประตูอันร้อนแรงของ เมสัน กรีนวูด ที่กระหน่ำไป 17 ประตูรวมทุกรายการ ทั้งที่เป็นการลงสำรองมากถึง 23 เกม จากการลงเล่นทั้งหมด 49 เกม ทำให้เสื้อหมายเลข 11 ของปีกพ่อมด ตกมาอยู่ในมือของเจ้าหนูวัย 18 ปีในที่สุด
แม็ตตี้ ลองสต๊าฟฟ์ (จาก 43 เป็น 4)
แม็ตตี้ น้องชายของ ชอน ลองสต๊าฟฟ์ ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ของ นิวคาสเซิ่ล เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยมีผลงานที่ติดตาตรึงใจคือประตูชัยที่ยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมประเดิมพรีเมียร์ลีก
ปัญหาบาดเจ็บและเรื่องคาราคาซังเกี่ยวกับสัญญาฉบับใหม่ ทำให้ แม็ตตี้ ได้ลงสนามไปเพียง 15 เกมรวมทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลายเป็นฟรีเอเยนต์ในช่วงเวลาสั้นๆ กองกลางวัย 20 ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ สาลิกาดง ออกไปจนได้ พร้อมเปลี่ยนจากเบอร์ 43 มาใช้เบอร์ 4 แทน ขนาดพี่ชาย ชอน ยังใส่เบอร์ 36 เหมือนเดิม