ปี 2020 เป็นปีที่สโมสร เบรนท์ฟอร์ด ต้องพบเจอเรื่องราวมากมาย ทั้งดีและร้ายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำ และจารึกลงในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ย้อนกลับไปฤดูกาลที่แล้ว ใครที่ติดตามฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์จะรู้ดีว่า เบรนท์ฟอร์ด สมควรมีชื่ออยู่ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มากกว่า เวสต์บรอมวิช หรือ ฟูแล่ม
ผลงานของ เบรนท์ฟอร์ด ในช่วงท้ายฤดูกาล คว้าชัยชนะ 8 เกมติดต่อกัน (เกมที่ 37-44) จนหายใจรดต้นคอรองจ่าฝูง เวสต์บรอมวิช อัลเบียน
แต่ใครจะเชื่อว่าพอถึงสองเกมสุดท้ายกลับไม่ได้คะแนนเพิ่มเลย โดยเฉพาะเกมสุดท้ายของซีซั่นที่แพ้คาบ้านต่อ บาร์นสลี่ย์ ทีมหนีตกชั้น เลยพลาดตั๋วเลื่อนชั้นอัตโนมัติแบบเจ็บปวดใจ
และในรอบชิงชนะเลิศ เพลย์ออฟ ก็ดันมาเจอทีเด็ดของแบ็กซ้าย ฟูแล่ม โจ ไบรอัน ผีเข้ายิงสองประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก
การพลาดเลื่อนชั้นทั้งแบบอัตโนมัติและเพลย์ออฟสร้างความบอบช้ำภายในทีมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการที่สโมสรวางแผนเปิดใช้งานสนามแห่งใหม่ เบรนท์ฟอร์ด คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม แทนที่สนามเดิม กริฟฟิน พาร์ค ในฤดูกาล 2020-21 แต่ดันไม่ได้เปิดตัวในพรีเมียร์ลีก
แต่นั่นก็ยังเจ็บปวดไม่พอสำหรับเฮดโค้ช โธมัส แฟร้งค์ ที่ซีซั่นใหม่ยังต้องเสียสองนักเตะที่ดีที่สุด โอลลี่ วัตกิ้นส์ กับ ซาอิด เบนราห์มา ย้ายสู่พรีเมียร์ลีกกับ แอสตัน วิลล่า และ เวสต์แฮม ตามวิถีทางของฟุตบอล
วัตกิ้นส์ คือดาวซัลโวในทุกรายการของสโมสร 26 ประตู คว้ารางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของอีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของสโมสรจากการโหวตของเพื่อนนักเตะ, ติดทีมยอดเยี่ยมแชมเปี้ยนชิพแห่งฤดูกาลของพีเอฟเอ เป็นต้น
เอ็มบวยโม่ (ซ้าย), วัตกิ้นส์ (กลาง), เบนราห์มา (ขวา)
ขณะที่ เบนราห์มา รองดาวซัลโวของสโมสร 17 ประตู ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของสโมสรจากการโหวตของแฟนบอล, ติดทีมยอดเยี่ยมแชมเปี้ยนชิพแห่งฤดูกาลของพีเอฟเอ เป็นต้น
แฟนๆ เบรนท์ฟอร์ด คงทำใจล่วงหน้า กับการต้องสร้างแนวรุกชุดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปีที่แล้วก็เสียดาวซัลโว นีล โมเปย์ ไปลุยพรีเมียร์ลีกกับ ไบรท์ตัน ก่อนจะปั้น วัตกิ้นส์ ขึ้นมาทดแทน บวกกับการมี เบนราห์มา ที่ย้ายมาจาก นีซ เมื่อปี 2018 อยู่แล้ว
ซัมเมอร์ที่ผ่านมา เบรนท์ฟอร์ด ลงทุนไปเพียงเล็กน้อยกับการคว้าตัว อีวาน โทนี่ย์ ดีกรีดาวซัลโวลีกวันซีซั่นก่อนมาจาก ปีเตอร์โบโร่
เอ็มบวยโม่ กับ โทนี่ย์
และคนที่จะต้องรับภาระหนักขึ้นก็คือ ไบรอัน เอ็มบวยโม่ ปีกทีมชาติฝรั่งเศส ชุดยู-21 ที่ไปซื้อมาจาก ทรัวส์ ตั้งแต่ซีซั่นก่อนแล้ว
โทนี่ย์ กับ เอ็มบวยโม่ นี่แหละ ที่จะทดแทน วัตกิ้นส์ กับ เบนราห์มา แบบตรงตัว
ถึงตอนนี้ผ่านไป 20 เกมในแชมเปี้ยนชิพ เบรนท์ฟอร์ด เกาะอยู่อันดับ 4 ของตาราง โดยมี โทนี่ย์ กองหน้าตัวใหม่นำดาวซัลโว 16 ประตู ซึ่งเป็นการยิงเกินครึ่งของจำนวนประตูที่ทีมยิงได้ 31 ประตู
เป้าหมายสูงสุดของสโมสรยังคงเหมือนเดิมคือการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1946-47 ที่ตกชั้นแล้วไม่เคยกลับขึ้นไปอีกเลย
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ แฟร้งค์ จะโรเตชั่นทีมลงเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้าย คาราบาวคัพ ที่เจอ นิวคาสเซิ่ล ทีมจากพรีเมียร์ลีก โดยพักทั้ง โทนี่ย์ และ เอ็มบวยโม่ นั่งสำรอง เช่นเดียวกับอีกหลายตำแหน่ง
แต่ทีมลูกผสมของ เดอะ บีส์ ก็ยังปราบ เดอะ แม็กพายส์ 1-0 และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 131 ปีของสโมสรที่ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศบอลถ้วย ทั้งรายการเอฟเอคัพ และลีกคัพ (ตามชื่อสปอนเซอร์)
กุนซือชาวเดนมาร์ก โธมัส แฟร้งค์
"มันมีความหมายอย่างมากสำหรับผม สต๊าฟฟ์ และนักเตะทุกคน เพราะนี่คือก้าวที่สำคัญ และเป็นชัยชนะที่สำคัญมาก" แฟร้งค์ กล่าวหลังจบเกมที่ เบรนท์ฟอร์ด คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม
"เราคุยกันก่อนแล้วเรื่องการสร้างประวัติศาสตร์ของ เบรนท์ฟอร์ด นั่นทำให้ผมภูมิใจมาก และผมภูมิใจมากกว่ากับแนวทางที่เราเล่นในวันนี้ เราสมควรเป็นผู้ชนะในเกมที่เผชิญหน้ากับทีมแกร่ง ผมต้องยกย่องเด็กๆ ทุกคนเป็นอย่างมาก"
ถึงตอนนี้ แฟร้งค์ และลูกทีมจะต้องแบ่งสมาธิดีๆ ระหว่างเกมแชมเปี้ยนชิพ กับ คาราบาวคัพ ที่มีโปรแกรมเตะรอบรองชนะเลิศในช่วงต้นเดือนมกราคมเลย โอกาสสร้างประวัติศาสตร์ต่อ ไปถึงรอบชิงชนะเลิศถือว่ามีมากขึ้น จากการปรับเปลี่ยนกฏมาเล่นรอบรองฯ เกมเดียว จากเดิมที่เคยเล่นสองนัดเหย้า-เยือน
นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของ เบรนท์ฟอร์ด หลังจากพบความผิดหวังเมื่อซีซั่นที่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็จารึกประวัติศาสตร์ของสโมสรในบอลถ้วย และยังไม่จบเพียงเท่านี้
ขณะที่ผลงานในสนาม เบรนท์ฟอร์ด พิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นว่าสามารถต่อกรอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้สบายๆ