เราคงเคยเห็นทีมบ๊วยพรีเมียร์ลีกถูกทิ้งห่างเมื่อผ่านครึ่งทางของซีซั่นมาบ่อยครั้งแล้ว แต่แทบไม่เคยเห็นการเกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียวทั้งสามทีม
ไม่ว่าผลการแข่งขันของ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน รองบ๊วย กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมบ๊วย จะจบลงเช่นไรในเกมพรีเมียร์ลีกวันอาทิตย์ ช่องห่างระหว่างพื้นที่สีขาวกับพื้นที่สีแดง หรืออันดับ 17 เบิร์นลี่ย์ กับอันดับ 18 ฟูแล่ม จะยังอยู่ที่ 8 คะแนนไม่มีเปลี่ยน
3 หรือ 4 คะแนนนี่ก็ว่ายากแล้ว สำหรับทีมในกลุ่มท้ายตาราง ที่กว่าจะได้มาแต่ละคะแนนเลือดตาแทบกระเด็น แต่นี่ 8 คะแนน!!! ดูแล้ว พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ คงจืดชืดในเรื่องการลุ้นหนีตกชั้น
และอาจไม่แตกต่างจากหัวตารางด้วย ที่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างง่ายดาย
ปัญหาของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ออกสตาร์ตฤดูกาลห่วยแตก ไม่ชนะเกมลีก 17 เกมแรก หรือจนจบปี 2020 ที่มีเพียง 2 คะแนน ผมมองว่าทีมของ คริส ไวล์เดอร์ ขาดโชคเข้าข้างไปหลายต่อหลายเกม มากกว่าปัญหาเรื่องแท็กติกที่ถูกคู่แข่งจับทางได้หมดแล้ว หรือการขาดแรงจูงใจ แรงกระตุ้นในการเล่น
เดอะ เบลดส์ บุกแพ้ อาร์เซน่อล 1-2, บุกแพ้ ลิเวอร์พูล 1-2, แพ้ในบ้านต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 ในรูปเกมที่สู้ได้อย่างสนุกและสูสี อย่างเกมที่ แอนฟิลด์ ที่ยิงนำก่อนด้วย เดาว่าถ้าเป็นฤดูกาลที่แล้ว คงต้องมีคะแนน ไม่เกมใดก็เกมหนึ่ง
ไหนจะเกมที่แพ้ เลสเตอร์ 1-2 โอกาสมีพอๆ กัน แต่มาโดนทีเด็ด เจมี่ วาร์ดี้ ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย หรือจะเป็นเกมที่นำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ต้นเกม แต่สุดท้ายแพ้คาบ้าน 2-3
จริงๆ แล้ว ฤดูกาลนี้ ความพ่ายแพ้ 17 จาก 22 เกมแรกของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (ก่อนเกม เชลซี) เป็นการแพ้แบบสกอร์เบียด หรือแพ้ด้วยความห่างประตูเดียวมากถึง 12 เกม และคนที่รู้สึกว่าตนเองและทีมอับโชคที่สุด เห็นจะเป็น ไวล์เดอร์ นี่แหละ
ส่วนรองบ๊วย เวสต์บรอมวิช ดูไปดูมา ทีมนี้แหละคือทีมที่มีผลงานห่วยที่สุดของฤดูกาลนี้ ถ้ามองจากเรื่องทรงบอล รูปเกม และการเสียประตูที่ทะลุหลัก 50 ไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชในช่วงกลางเดือนธันวาคม จาก สลาเวน บีลิช มาเป็น แซม อัลลาร์ไดซ์ ไม่ได้ส่งผลอะไรไปในทางที่ดีขึ้น
ยิ่งถ้ามองจาก 4 เกมแรกในรัง เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-3, แพ้ ลีดส์ 0-5, แพ้ อาร์เซน่อล 0-4, แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-5 ทิศทางการทำทีมของ 'บิ๊กแซม' ดูจะแย่ลงด้วยซ้ำ และแฟนๆ คงเริ่มคิดถึงการกลับสู่แชมเปี้ยนชิพเพียงแค่ปีเดียวแล้ว
ชัยชนะ 2 จาก 22 เกมแรกของ เวสต์บรอมวิช กลายเป็นตัวเลขน้อยที่สุดในเวลานี้เท่ากับ ฟูแล่ม ก่อนเกมวันอาทิตย์ ที่ เดอะ แบ๊กกี้ส์ มีคิวบุกเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
สถานการณ์ในทีมของ สกอตต์ พาร์เกอร์ แค่ยื้อแบ่งแต้มคู่แข่งได้มากกว่าเท่านั้น และมีจุดเด่นอยู่ที่การเน้นเกมรับเหนียวแน่นไว้ก่อน เห็นได้จากการเสียไปเพียง 31 ประตู น้อยกว่าทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล, คริสตัล พาเลซ, เซาธ์แฮมป์ตัน, ลีดส์ ทั้งหมด
แต่จะว่าไปแล้ว ฟูแล่ม ทีมนี้ ไม่ต่างอะไรจากชุดที่เลื่อนชั้นเมื่อสามปีก่อน ที่ก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกแบบเดียวกันคือการคว้าแชมป์เพลย์ออฟ แต่ขึ้นมาแบบงงๆ เพราะทีมมีขนาดเล็กเกินไป ต้องไปหว่านแหขอยืมคนนั้นคนนี้มาร่วมทีมมั่วไปหมด
ซีซั่นนี้ก็เช่นกัน ฟูแล่ม ไม่มีความพร้อมเหมือนเดิม ต้องไปไล่ยืม อัลฟอนส์ อาเรโอล่า, อาเดโมล่า ลุคแมน, โยอาคิม อันเดอร์เซ่น, มาริโอ เลอมิน่า, โอล่า ไอน่า, รูเบน ลอฟตัส-ชีค และทั้งหมดกลายเป็นตัวหลักของ พาร์เกอร์ ด้วย
จึงเป็นปัญหาเดิมๆ ของ ฟูแล่ม ที่จะว่าไปแล้ว พวกเขาแย่งตั๋วเลื่อนชั้นจาก เบรนท์ฟอร์ด มาแบบมีโชคอยู่ไม่น้อย และถ้าทีมของ โธมัส แฟร้งค์ ได้ขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก พวกเขาคงไม่ต้องขาย โอลลี่ วัตกิ้นส์ กับ ซาอิด เบนราห์มา สองตัวรุกที่ดีที่สุดของทีมเป็นแน่
ดูแล้ว สามทีมที่จะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกลงสู่แชมเปี้ยนชิพ คงไม่หนีไปจาก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เวสต์บรอมวิช, ฟูแล่ม เพราะคะแนนที่ห่างเกินกว่าที่จะลุ้นปาฏิหารย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น
และงานหนีตายของทีมอย่าง เบิร์นลี่ย์, นิวคาสเซิ่ล, ไบรท์ตัน, วูลฟ์แฮมป์ตัน ในฤดูกาลนี้ดูจะง่ายกว่าที่คิด