เริ่มต้นจากตัวสำรอง ที่หนักไปทางสำรองไม่ได้ใช้ จนถึงนาทีนี้ชื่อของ แกเร็ธ เบล กลายเป็นตัวสำรองใช้ไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้วในสายตา โชเซ่ มูรินโญ่
อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่ มูรินโญ่ หรอก แต่แฟนบอลทั่วไปก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นกับ เบล ชนิดที่ยากจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว โดยไม่ต้องอ้างเหตุผลว่าไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม
สภาพจิตใจ ทัศนคติ บวกกับสภาพร่างกายที่ดูเหมือนจะไปไม่ถึง 100 เปอร์เซนต์เสียที นี่คือปัญหาที่มองเห็นได้จากภายนอก หลังจากการประเดิมสนามรอบสองกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในเดือนตุลาคม
จนถึงตอนนี้ เบล เป็นมาทุกบทบาทแล้ว ทั้งตัวจริง ตัวสำรอง ตัวสำรองไม่ได้ลงเล่น และที่หนักที่สุดคือไม่มีชื่ออยู่ในทีมทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาบาดเจ็บ
แม้ในเกมล่าสุด เอฟเอ คัพ รอบ 5 ที่บุกแพ้ เอฟเวอร์ตัน 4-5 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ มูรินโญ่ ให้เหตุผลถึงการไม่ใส่ชื่อ เบล อยู่ในแมตช์เดย์สควอด 20 คน (ตัวจริง 11 ตัวสำรอง 9) ว่าเป็นเพราะปัญหาสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์
แต่ก่อนหน้านั้นสองเกมในพรีเมียร์ลีก ที่แพ้ เชลซี และชนะ เวสต์บรอมวิช เบล ต้องนั่งสำรองจนก้นชา ออกมาวอร์มบ้างเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายไม่ถูกส่งลงสนามเลยตลอด 180 นาที
นี่แสดงให้เห็นว่า เบล ตกเป็นตัวเลือกลำดับสุดท้าย ระหว่างบรรดาตัวรุกริมเส้น ซน ฮึง-มิน, สตีเว่น เบิร์กไวน์, ลูคัส มูร่า ซึ่งทั้งสามคนนี้มีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แทบจะตลอดทั้งฤดูกาลเลย
จาก 6 เกมที่ได้ลงสัมผัสสนามในพรีเมียร์ลีก เบล เป็นตัวจริง 2 เกม และเป็นตัวสำรองอีก 4 เกม รวมเวลาที่อยู่ในสนามเพียง 232 นาทีเท่านั้น
6 เกมที่ว่า เริ่มจากฝันร้ายในเกมประเดิมสนามที่เสมอ เวสต์แฮม 3-3 มูรินโญ่ ส่ง เบล ลงในนาที 72 ขณะที่ทีมนำห่าง 3-0 สุดท้ายโชคร้ายต้องมาเสียสามประตูในช่วงท้ายเกม โดยที่ เบล มีโอกาสหลุดเดี่ยวควรปิดเกมเป็น 4-2 ในช่วงทดเจ็บ แต่กลับยิงออก
เกมที่สองทำท่าว่าจะดี ลงสำรองในช่วง 20 นาทีสุดท้าย โหม่งประตูชัยให้ทีมชนะ ไบรท์ตัน 2-1 จึงได้รางวัลตอบแทนด้วยการเป็นตัวจริงที่ เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ การจัดทีมที่แฟนๆ อยากเห็น แฮร์รี่ เคน, ซน ฮึง-มิน, แกเร็ธ เบล
แต่สุดท้ายต้องยอมรับความจริงว่ายังเล่นด้วยกันไม่ได้ และ เบล ก็ถูกถอดออกในนาที 78 ก่อนที่ เคน จะโหม่งประตูชัยท้ายเกม
หลังจากนั้นก็ห่างหายจากการลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปนาน กลับมาอีกทีเป็นการลงสำรองตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง เกมที่แพ้คาบ้านต่อ เลสเตอร์ 0-2 ชนิดช่วยอะไรทีมไม่ได้เลย เช่นเดียวกับเกมที่โดน ลิเวอร์พูล บุกมาอัด 3-1 ก็ลงสำรองนาที 81 ก่อนจบเกมไปแบบเงียบๆ
และเกมล่าสุดที่ลงสนามคือการเป็นตัวจริงที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม และได้อยู่ในสนามแค่ 61 นาที ในเกมที่บุกแพ้ ไบรท์ตัน 0-1 เพราะหลังจากนั้นอีกสองเกม นั่งสำรองยาวๆ ไม่ได้ลงเล่น ซึ่งเป็นสองจากแปดเกมที่ เบล มีชื่อข้างสนามแต่ไม่ได้ลง
บอลถ้วย เอฟเอ คัพ ในรอบสาม เบล ลงสำรองนาที 64 ตอนที่ทีมนำห่าง มารีน ทีมนอกลีก 5-0 พยายามหาช่องส่องประตูให้ได้ แต่สุดท้ายไม่มีประตู แต่ในรอบต่อมา ลงตัวจริงเกมบุกชนะ วีคอมบ์ 4-1 เป็นคนยิงตีเสมอได้
และใน คาราบาว คัพ ลงตัวจริงเกมเดียวที่บุกชนะ สโต๊ค 3-1 มีหนึ่งประตูจากลูกโหม่ง
ที่ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองเต็มๆ คือใน ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม ที่ได้ลงตัวจริงครบทุก 6 เกม สร้างโอกาสยิงให้ตัวเองกระจุยกระจาย แต่สุดท้ายมีประตูเดียว และเป็นจุดโทษด้วย
สิ่งที่ได้เห็นชัดเจนที่สุดจากผลงานในสนามทั้ง 15 เกมคือทัศนคติในการเล่นของ เบล
เบล พยายามสร้างโอกาสยิงให้ตัวเองตลอดเวลา แม้ระยะไกล 30-35 หลา ก็จะขอลองซัด รวมถึงฟรีคิกทุกระยะทำการด้วย ซึ่งถ้าเป็น เบล คนเดิมในฤดูกาล 2012-13 คงได้เห็นประตูสวยๆ เกิดขึ้นเพียบ
และสิ่งนี้เองที่ทำให้ เบล ตกเป็นรอง เบิร์กไวน์ กับ มูร่า ในการประสานงานกับสองตัวหลัก เคน กับ ซน
เมื่อสัปดาห์ก่อน เพิ่งมีประเด็นของ เบล ให้พูดถึง ทั้งเรื่องการกลับต้นสังกัดตัวจริง เรอัล มาดริด ในช่วงปิดฤดูกาล แล้ว ราชันชุดขาว จะเอาอย่างไรต่อไป เพราะยังเหลือสัญญาอีกปีสุดท้าย
ขณะที่ ท็อตแน่ม คงไม่มีความคิดที่จะเซ็นสัญญาถาวร เพราะแค่ค่ายืม 10 ล้านปอนด์ บวกกับการจ่ายค่าเหนื่อยราวๆ 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนเพียง 40 เปอร์เซนต์ของทั้งหมด (เรอัล มาดริด จ่ายที่เหลือ 60%) แค่นี้ก็เป็นการสูญเงินมหาศาล แบบที่แทบไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาแล้ว
มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ เรอัล มาดริด จะยกเลิกสัญญาปีสุดท้ายกับ เบล แต่ต้องเป็นกรณีที่นักเตะยอมตกลงไม่รับเงินชดเชยที่เหลือ แลกกับการเป็นอิสระ
และจุดหมายปลายทางต่อไปอาจไม่ได้อยู่ในยุโรปแล้ว เพราะเมื่อเห็นผลงานและตัวเลขค่าเหนื่อย ใครจะกล้าเสี่ยง?