:::     :::

'ฟอลส์ไนน์','ทีมเวิร์ค'และ'ควอดรูเพิลแชมป์'

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 คอลัมน์ Football Therapy โดย บี้ เดอะสปา
1,003
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ช่องว่าง 14 คะแนน กับโปรแกรมแข่งขันที่เหลือ 10 เกมสุดท้าย แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีทีมใดพรากโทรฟี่พรีเมียร์ลีกไปจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ความพ่ายแพ้ในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเพียงแค่การหยุดสถิติชนะรวดในพรีเมียร์ลีกเอาไว้ที่ 15 เกม และไม่แพ้ใคร 19 เกมติดต่อกัน แต่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้

เพราะต่อให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดอีกถึง 3-4 เกมในช่วงที่เหลือ แต่คิดเหรอว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ เลสเตอร์ ซิตี้ จะชนะรวดใน 10 เกมสุดท้าย
ถือเป็นฤดูกาลที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องเหนื่อยและปวดหัวกับการเตรียมความพร้อมของทีมมากกว่าฤดูกาลอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอาการบาดเจ็บ ไม่ฟิตสมบูรณ์ และยังมีเรื่องผลบวกโควิด-19 ที่กระทบทีมในช่วงเวลาหนึ่งด้วย
'ฟอลส์ไนน์' จึงถูกนำมาใช้แทบทุกเกมในฤดูกาลนี้ แทนที่จะส่งผลกระทบกับทีมของ เป๊ป บ้างไม่มากก็น้อย แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างดูราบรื่นดี และการไม่มีศูนย์หน้าแท้ๆ อยู่ในสนาม ก็ส่งผลให้การยิงประตูถูกกระจายออกไปในแต่ละตำแหน่ง โดยเฉพาะตัวรุกริมเส้นและกองกลาง
อิลคาย กุนโดอาน กองกลางที่มีอิสระในการสอดขึ้นไปเล่นเกมรุกตามแนวทางของ เป๊ป คือผู้นำดาวซัลโวของทีมเวลานี้ที่จำนวน 14 ประตูรวมทุกรายการ แยกเป็น 12 ประตูในพรีเมียร์ลีก และ 2 ประตูในแชมเปี้ยนส์ลีก
ตามด้วย ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกที่โดนวิจารณ์เยอะแทบทุกซีซั่น กับการใช้โอกาสสิ้นเปลือง แม้ฤดูกาลนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ก็ทำไปแล้ว 13 ประตู เป็นในพรีเมียร์ลีก 9 ประตู, เอฟเอคัพ 1 ประตู, คาราบาวคัพ 2 ประตู, แชมเปี้ยนส์ลีก 1 ประตู
อันดับสามมีสองคน ฟิล โฟเด้น ยิงไปแล้ว 11 ประตู กับการรับบทบาทในแนวรุกมากขึ้นในฤดูกาลนี้ อีกคนถึงเป็นศูนย์หน้า กาเบรียล เชซุส ที่ซีซั่นนี้ก็ยังพิสูจน์ตัวเองให้กลายเป็นตัวหลักไม่ได้ ทั้งที่โอกาสมาแล้ว
61 ประตูจาก 29 เกม ยิงมากที่สุดในบรรดา 20 ทีมพรีเมียร์ลีก ถูกกระจายออกไปเป็นของนักเตะมากถึง 15 คน แสดงให้เห็นถึงการเล่นเป็นทีม ยึดระบบของ เป๊ป เป็นหลักมากกว่าที่จะมีซูเปอร์สตาร์คนใดคนหนึ่งแบกทีมเอาไว้
จะได้เห็นจากฟอร์มการเล่นโดดเด่นที่สลับกันมาไม่ซ้ำหน้าในแต่ละเดือน เริ่มตั้งแต่ เควิน เดอ บรอยน์ เดือนกันยายน, ไคล์ วอล์คเกอร์ เดือนตุลาคม, รูเบน ดิอาส เดือนพฤศจิกายน, จอห์น สโตนส์ เดือนธันวาคม, อิลคาย กุนโดอาน เดือนมกราคม และ ริยาด มาห์เรซ เดือนกุมภาพันธ์ เจ้าของรางวัล เอติฮัด เพลเยอร์ ออฟ เดอะ มันธ์ ของสโมสรในแต่ละเดือน
ที่สำคัญ นอกเหนือจากว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว ซีซั่นนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ทั้ง 4 รายการ คาราบาวคัพ รอชิงชนะเลิศกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ วันที่ 25 เมษายน, เอฟเอคัพ รอเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายเยือน เอฟเวอร์ตัน วันที่ 20 มีนาคม และแชมเปี้ยนส์ลีก ที่น่าจะผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ไม่ยาก หลังจากบุกชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค มาก่อนในเกมแรก 2-0
อย่างน้อย เป๊ป ก็แสดงให้เห็นว่าในฤดูกาลนี้ การขาดตัวหลักไปสักกี่คนก็ไม่สามารถทำอะไร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ เพราะนักเตะทุกคนสามารถสลับเล่นตำแหน่งใดก็ได้เท่าที่เจ้านายต้องการ

คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด