เบรนท์ฟอร์ด พลิกสถานการณ์พาตัวเองกลับเข้าไปเหยียบเวมบลีย์เป็นปีที่สองติดต่อกัน เหลือแค่ก้าวเดียวกับการเสนอชื่อในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
เบรนท์ฟอร์ด คือสโมสรที่ 5 ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เพลย์ออฟ ของแชมเปี้ยนชิพ เป็นปีที่สองติดต่อกัน
มันไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจ และถ้าเลือกได้ คงไม่มีทีมใดอยากเป็นเช่นนั้น เพราะหมายความว่า ต้องพบความพ่ายแพ้ในปีแรก หรืออดเลื่อนชั้นนั่นเอง ถึงต้องเล่นอยู่ในแชมเปี้ยนชิพปีต่อมา
ครั้งแรกที่ยังคงเป็นสถิติจนถึงตอนนี้คือ เลสเตอร์ ซิตี้ เข้าชิงสามปีติดต่อกัน แพ้ปี 1992 แพ้ปี 1993 ถึงได้สมหวังในปี 1994 ถือเป็นการชิงที่มีความกดดันคูณสาม
คริสตัล พาเลซ คือทีมที่สอง ที่ชิงแพ้ปี 1996 และชนะในปี 1997
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คือทีมที่สาม ที่ชิงแพ้ปี 2004 และชนะในปี 2005
ทีมที่สี่ แอสตัน วิลล่า ที่แพ้ในปี 2018 และชนะในปี 2019
เบรนท์ฟอร์ด จึงหวังว่าจะสมหวังตามอย่าง พาเลซ, เวสต์แฮม และ วิลล่า แต่...
เดอะ บีส์ หรือ เจ้าผึ้งน้อย ไม่เคยประสบความสำเร็จ หรือไม่เคยเลื่อนชั้นแม้แต่ครั้งเดียว จากความพยายามทั้งหมด 9 ครั้งในรอบเพลย์ออฟของลีกที่ดูแลโดย อีเอฟแอล (ปัจจุบันคือ แชมเปี้ยนชิพ ลีกวัน ลีกทู) ซึ่งตัวเลขนี้คือสถิติของประเทศ
หากนับแค่รอบชิงชนะเลิศ พวกเขาแพ้ทั้ง 4 ครั้ง ในดิวิชั่นสองปี 1997, ดิวิชั่นสองปี 2002, ลีกวันปี 2013 และล่าสุดก็แชมเปี้ยนชิพเมื่อปีที่แล้วนั่นแหละ
จะว่าไป มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย แต่มันคือการต้องคำสาปในรอบชิงชนะเลิศ เพราะก่อนหน้านี้ เบรนท์ฟอร์ด ก็เคยแพ้สามครั้งในรายการ แอสโซซิเอท เมมเบอร์ส คัพ หรือปัจจุบัน ฟุตบอลลีก โทรฟี่ ในปี 1985, 2001 และ 2011
พูดถึงทีม เบรนท์ฟอร์ด ชุดนี้ของ โธมัส แฟร้งค์ ที่ก้าวขึ้นมาคุมทีมต่อจาก ดีน สมิธ ที่ย้ายไปคุม แอสตัน วิลล่า ในเดือนตุลาคมปี 2018 ใช้เวลาสร้างทีมเป็นของตัวเองในฤดูกาลถัดมา และเกือบจะเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว หากไม่มาเสียท่าเองในช่วงท้ายฤดูกาล และในรอบชิงเพลย์ออฟ ก็ดันไปเจอลูกผีเข้าจาก โจ ไบรอัน แบ็กซ้าย ฟูแล่ม ซะอีก
ทุกครั้งที่ดู ฟูแล่ม ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้แล้วผลงานห่วยเสียเป็นส่วนใหญ่ จะต้องคิดเสมอว่าโควต้านี้ควรเป็นของ เบรนท์ฟอร์ด มากกว่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นทีมของ แฟร้งค์ ก็จะไม่ต้องขาย โอลลี่ วัตกิ้นส์ กับ ซาอิด เบนราห์มา สองตัวรุกที่ดีที่สุดของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งจะเป็นบอลเกมรุกที่สร้างปัญหาให้หลายต่อหลายทีมได้แน่
แต่อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มิเช่นนั้น เบรนท์ฟอร์ด ก็จะไม่ได้เห็น อีวาน โทนี่ย์ ที่ย้ายมาทดแทน วัตกิ้นส์ เป็นดาวซัลโวแชมเปี้ยนชิพเฉกเช่นซีซั่นนี้
เรื่องที่น่าเสียดายคือการขาดความสม่ำเสมอในช่วงท้ายฤดูกาล ทั้งที่มีจังหวะท้าทายจ่าฝูง นอริช หลายช่วง แต่สุดท้ายยืนระยะไม่ได้ แถมยังถูก วัตฟอร์ด ที่ฟอร์มพุ่งอย่างสม่ำเสมอ ปาดแซงคว้าตั๋วเลื่อนชั้นแบบออโต้ไปอีก
ยังดีที่รอบรองชนะเลิศ เพลย์ออฟ ยังเรียกฟอร์มเก่งกลับมาทัน หลังจากบุกแพ้ บอร์นมัธ มาก่อนในเกมแรก 0-1 แถมยังตามหลังในบ้านก่อนอีก สกอร์รวมตามสองประตู แต่มายิงสามประตูแซงชนะ 3-1
สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะซ้ำรอยปีที่แล้ว เพราะ เบรนท์ฟอร์ด ที่จบอันดับสาม ก็บุกแพ้ สวอนซี ทีมอันดับหก 0-1 ในเกมแรก ก่อนพลิกเกมสองในบ้าน แซงชนะ 3-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิง
แต่ โธมัส แฟร้งค์ และลูกทีม ไม่ต้องการเห็นนัดชิงปีนี้ไม่ซ้ำรอยเมื่อปีที่แล้วแน่นอน
และในฐานะคนดูบอลที่เริ่มต้นปีเดียวกับที่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก หวังว่าจะได้เห็นทีมหน้าใหม่ ซึ่งจะเป็นทีมที่ 50 ในพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 1992 ต่อจาก ไบรท์ตัน ทีมที่ 48 และ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทีมที่ 49 ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพร้อมกันในปี 2017