การตัดตัวเหลือ 26 คนสุดท้ายของทีมชาติอังกฤษไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์ใดๆ มากนัก แต่ก็พอจะมีหลากหลายประเด็นให้พูดถึง หนึ่งในนั้นคือเรื่องแบ็กขวา 4 คน
จากรายชื่อ 33 คนชุดแรกที่ประกาศออกมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม แกเร็ธ เซาธ์เกต จะต้องตัดรายชื่อออกไป 7 คนในวันเดดไลน์ส่งรายชื่อต่อ ยูฟ่า 1 มิถุนายน
ประเด็นที่สื่ออังกฤษวิเคราะห์และคาดการณ์กันอย่างหนักตลอดหนึ่งสัปดาห์คือเรื่องแบ็กขวา
ตามปกติแล้ว แบ็กขวาหรือแบ็กซ้าย น่าจะเรียกตำแหน่งละ 2 หรือ 3 คนไม่เกินจากนี้ แต่จากรายชื่อ 33 คน สื่ออังกฤษคาดเดาว่า เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หรือ รีซ เจมส์ คนใดคนหนึ่งน่าจะไม่มีชื่อ แต่ เซาธ์เกต ก็เรียกมาทั้งคู่
และพอถึงตอนตัดตัวเหลือ 26 คน ชื่อของ 'ทีเอเอ' โดดเด่นเลยว่าหลุดแน่ๆ เพราะฟอร์มของ เจมส์ ในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ปรากฏว่าทั้งคู่ก็ยังมีชื่ออยู่กันครบ กลายเป็นทีมชุดยูโร 2020 ที่มีแบ็กขวา 4 คน
แต่ทุกอย่างมีเหตุและมีผล เซาธ์เกต เตรียมคำตอบเอาไว้ชี้แจงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่ก็คงจะทราบดีว่าเป็นเพราะนักเตะหลายคนสามารถลงเล่นได้มากกว่าหนึ่งตำแหน่ง
ถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า เซาธ์เกต จะเลือกเล่นระบบหลังสามเหมือนตอนฟุตบอลโลก 2018 หรือจะใช้หลังสี่เหมือนที่ได้เห็นในเกมฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเล่นในระบบ 4-2-3-1 กับ 4-3-3
จากการคาดการณ์ของสื่ออังกฤษ เดลี่ เมล และ เดอะ ซัน เชื่อว่าจะเล่นระบบ 4-3-3 หมายความว่า 10 รายชื่อกองหลังชุดนี้ จะแบ่งออกเป็น เซนเตอร์แบ็ก 4 คน, แบ็กขวา 4 คน และแบ็กซ้าย 2 คน ไม่สามารถสลับบทบาทได้เหมือนการเล่นระบบกองหลังสาม
หากทุกคนฟิตพร้อมเป็นตัวเลือก ผู้รักษาประตูจะมี จอร์แดน พิคฟอร์ด, ดีน เฮนเดอร์สัน, แซม จอห์นสตัน
เซนเตอร์ฝั่งซ้ายจะมี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ ไทโรน มิงส์, เซนเตอร์ฝั่งขวาจะมี จอห์น สโตนส์ กับ คอเนอร์ โคดี้
แบ็กซ้ายจะมี ลุค ชอว์ กับ เบน ชิลเวลล์
แบ็กขวาจะมี ไคล์ วอล์คเกอร์, คีแรน ทริปเปียร์, รีซ เจมส์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
กองกลางตัวรับจะมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เดแคลน ไรซ์, คัลวิน ฟิลลิปส์, จู๊ด เบลลิงแฮม
กองกลางตัวรุกและปีกจะมี เมสัน เมาท์, แจ๊ค กรีลิช, ราฮีม สเตอร์ลิง, เจดอน ซานโช่, ฟิล โฟเด้น, บูคาโย่ ซาก้า
ศูนย์หน้าตัวเป้าจะมี แฮร์รี่ เคน, โดมินิก คัลเวิร์ท-ลูอิน และ มาร์คัส แรชฟอร์ด
แต่เรื่องที่ เซาธ์เกต ยังต้องมีความกังวลไม่น้อย คือสภาพความฟิตของนักเตะบางคนที่เรียกเข้ามา อย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ มีการคาดการณ์ว่าจะพลาดลงเล่นเกมแรกที่เจอ โครเอเชีย วันที่ 13 มิถุนายน
นอกจาก แม็กไกวร์ ก็ยังมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่พักไปนานแล้วกลับมาทันเวลาในช่วงปลายซีซั่น
มาร์คัส แรชฟอร์ด, ลุค ชอว์, คัลวิน ฟิลลิปส์, แจ๊ค กรีลิช พวกนี้ก็มีปัญหาออดๆ แอดๆ ก่อนจบฤดูกาลเช่นกัน
จุดแข็งของ อังกฤษ ยังอยู่ที่แนวรุก หากทุกคนอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด แฟนๆ ก็คงอยากเห็น ราฮีม สเตอร์ลิง, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจอดอน ซานโช่ ปั้นเกมรุกอยู่ด้านหลัง แฮร์รี่ เคน
แต่ในความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน สเตอร์ลิง กับ แรชฟอร์ด นัดกันฟอร์มตกทั้งคู่ โดยเฉพาะในเกมรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก และยูโรปาลีก ที่ผลงานน่าผิดหวัง
โอกาสในยูโร 2020 จึงอาจเปลี่ยนมือมาสู่ แจ๊ค กรีลิช, เมสัน เมาท์, ฟิล โฟเด้น ขึ้นอยู่กับ เซาธ์เกต ว่าจะเสี่ยงทดลองความสดแต่ประสบการณ์น้อย หรือยอมเลือกตัวประสบการณ์ที่ช่วงหลังฟอร์มตื้อๆ
เกมอุ่นเครื่องทดลองนักเตะและทดลองระบบของ เซาธ์เกต ที่จะเจอกับ ออสเตรีย เกมแรกวันที่ 2 มิถุนายน คงจะใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่นัก เพราะไม่อาจส่ง 11 นักเตะจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ติดภาระกิจในรอบชิงฟุตบอลยุโรปทั้งสองรายการ ทำให้เข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติช้ากว่าคนอื่นๆ
แต่เกมอุ่นเครื่องนัดที่สองกับ โรมาเนีย ในวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน เซาธ์เกต คงได้ทดลองสิ่งต่างๆ มากขึ้น
แม้ชื่อชั้นและตัวผู้เล่นของ อังกฤษ จะเหนือกว่าคู่แข่งในรอบแบ่งกลุ่ม ยูโร 2020 อย่าง โครเอเชีย, สกอตแลนด์, สาธารณรัฐเช็ก แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการวางระบบการเล่น แท็กติก และการจัดทีม
แน่นอน เป้าหมายของ อังกฤษ คือแชมป์ยูโร 2020 หรืออย่างน้อยก็ต้องเข้าถึงรอบรองฯ หากผิดไปจากนั้นเยอะ ทัวร์นาเมนต์อาจเป็นรายการสุดท้ายของ เซาธ์เกต เสียที