การเปิดตัว 'วีเออาร์' เกมแรกอย่างเป็นทางการในอังกฤษ ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับใครหลายๆ คน ยกเว้น เอฟเอ ที่มองว่า ประสบความสำเร็จ
เกมที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม คู่สุดท้ายของ เอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่งเป็นเกมมันเดย์ไนท์ ระหว่าง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน กับ คริสตัล พาเลซ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ เลือกประเดิม 'Video Assistant Referee' หรือ 'วีเออาร์' ในเกมสำคัญครั้งแรก โดยมี อันเดร มาร์ริเนอร์ รับบทผู้ตัดสินในสนาม และ นีล สวาร์บริค เป็นผู้ช่วยที่เฝ้าหน้าจอโทรทัศน์อยู่ที่สตูดิโอของพรีเมียร์ลีกในลอนดอน
กล้อง 12-15 ตัวรอบสนาม บวกกับอีก 4 ตัวบริเวณประตูทั้งสองฝั่ง พร้อมให้บริการ มาร์ริเนอร์ หากต้องการเรียกหาใน 4 กรณีสำคัญคือ จังหวะประตู, ใบแดง, จุดโทษ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในบางจังหวะ ก็สามารถทัก สวาร์บริค ได้ตลอดเวลา
ซึ่งเกมที่ เอเม็กซ์ ทำท่าว่าจะเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้อยู่แล้ว จนกระทั่งนาที 87 ก็มีประตูปัญหาเกิดขึ้นจาก เกล็น เมอร์เรย์ ศูนย์หน้า ไบรท์ตัน ที่ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย และ มาร์ริเนอร์ ก็ส่งสัญญาณมือว่าเป็นประตู
แต่แวบแรกเลยคือ จังหวะนี้ได้ใช้งาน 'วีเออาร์' แน่ หนึ่ง ล้ำหน้าหรือไม่ สอง แฮนด์บอลหรือเปล่า หลังจากนักเตะ คริสตัล พาเลซ ยกมือฟ้องกันระงม
สิ่งที่แฟนบอลทั้งในสนามและทางหน้าจอโทรทัศน์ได้เห็นคือ ไม่มีการเรียกขอดู 'วีเออาร์' ใดๆ ทั้งนั้นจาก มาร์ริเนอร์ ที่บอกสั้นๆ กับบรรดานักเตะ พาเลซ ว่าไม่แฮนด์บอล ขณะที่มีเสียงโห่ร้องอื้ออึงจากแฟนบอลทีมเยือนเมื่อได้เห็นภาพรีเพลย์ทางจอยักษ์ในสนาม เอเม็กซ์
ประตูนี้บีบหัวใจ และทำร้ายความรู้สึกกองเชียร์จากลอนดอนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่สามารถส่งทีมตกรอบ เอฟเอ คัพ ได้เลย แถมยังคาใจกับ 'วีเออาร์' ว่าทำไมถึงไม่ถูกเรียกใช้งานด้วย
ภายหลังมีการเปิดเผยแล้วว่า มาร์ริเนอร์ ได้ติดต่อกับ สวาร์บริค ที่ สตูดิโอ และได้รับการหนุนหลังว่าจังหวะนี้สมควรเป็นประตู เพราะไม่ล้ำหน้า และไม่แฮนด์บอล ตามที่เอ่ยปากถาม ขณะที่ เกรแฮม โพลล์ อดีตผู้ตัดสินคนดังก็ร่วมสนับสนุนว่าเป็นการตัดสินที่ถูกต้อง
แต่สิ่งที่แฟนบอล นักเตะ และสต๊าฟฟ์ทุกคนต้องการคืออะไร?
ทุกคนอยากให้ มาร์ริเนอร์ ทำสัญลักษณ์เป็นกรอบสี่เหลี่ยม แล้ววิ่งมาดูที่จอโทรทัศน์ข้างสนามด้วยตัวเอง แต่ มาร์ริเนอร์ ยืนยันพูดคุยทางเครื่องมือสื่อสารกับ สวาร์บริค แล้วจริงๆ จึงไม่ต้องวิ่งมาดูที่ มอนิเตอร์ ให้ซ้ำซ้อน
ไม่เป็นไร เมื่อมีการยืนยันแล้วว่า สวาร์บริค คอนเฟิร์มมาจาก สตูดิโอ ว่าเป็นประตู ก็เป็นประตู แต่เมื่อหลายๆ คนกลับมาดูประตูนี้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แฮนด์บอลหรือเปล่า?
เริ่มจาก เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ กองกลาง คริสตัล พาเลซ เผยว่า ทันทีที่ทุกคนกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวก็ดูรีเพลย์จังหวะนี้ ก่อนจะมีความเห็นที่แตกต่าง บ้างก็ว่า แฮนด์ บ้างก็ว่า ไม่แฮนด์
"ในห้องแต่งตัว ครึ่งหนึ่งบอกว่าเป็นประตู และอีกครึ่งหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ มันไม่ชัดเจนเลยจริงๆ ทุกคนเสียงแตก มี 20 คนดูประตูนี้ และเราก็มีความเห็นที่แตกต่าง มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากจริงๆ"
"มันเป็นหนึ่งในจังหวะในสนาม ที่คุณคิดว่ามันคือแฮนด์บอลแน่นอน แต่เมื่อคุณดูภาพช้าแล้ว มันไม่ชัดเจนเลยจริงๆ มันโดนหัวเข่าของ เกล็น แล้วหลังจากนั้นเราไม่รู้ว่ามันโดนอะไรต่อ"
"มันยากสำหรับผู้ตัดสิน มันเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่บางทีอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพียงแค่คืนแรกก็ตัดสินยาก แต่มันก็ผ่านไปแล้ว บางทีผู้ตัดสินอาจตัดสินถูก บอลอาจจะไม่ได้โดนมือ เกล็น ก็ได้ เพราะเขาก็คิดว่ามันไม่ได้โดนมือ"
"พูดตรงๆ นะ มันยากมาก สโมสรลงทุนไปเยอะ และคุณไม่ต้องการเห็นความผิดพลาดในเกม แต่ในเวลาเดียวกัน นี่คือส่วนหนึ่งของฟุตบอลที่ผู้คนสามารถผิดพลาดได้ทั้งนั้น เราเองก็ผิดพลาดได้ ผู้ตัดสินก็ผิดพลาดได้ คุณยังมีความเห็นเป็นสองทาง"
ด้าน สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์เกม ยอมรับว่าตัดสินใจไม่ถูก "ผมคิดว่ามันโดนหัวเข่าก่อน แต่ไม่รู้ว่าโดนแขนหรือเปล่า แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะตั้งใจนะ มันสำคัญที่ วีเออาร์ มีกล้องทุกมุมที่ช่วยในการตัดสินใจครั้งสำคัญ ถ้าคุณไม่ได้เห็นจากมุมต่างๆ แล้ว การโต้เถียงก็ยังดำเนินต่อ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร"
ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นอีกคนที่ตอบคำถามเรื่องประตูนี้ไม่ได้ "ผมคิดว่าทีแรกมันโดนหัวเข่าก่อน แต่ถ้าเราได้ดูหลายๆ มุม บางทีคุณอาจได้เห็นว่ามันโดนแขนหรือไม่ การถกเถียงยังคงมีต่อไป ทุกคนน่าจะได้เห็นภาพมุมต่างๆ จากพวกเขา (ผู้ตัดสิน) แล้วตัดสินใจว่าเห็นด้วยหรือไม่"
ส่วนตัวผม จากภาพช้าประมาณ 3-4 มุม ไม่สามารถตอบได้ว่าบอลสัมผัสอวัยวะส่วนไหนของ เมอร์เรย์ บ้าง เพราะจากหัวเข่าหรือหน้าขาที่กระดอนขึ้นมาเปลี่ยนทางบอล ดูยากจริงๆ ว่าบอลไปโดนหน้าอกหรือแขน
นี่ขนาดมีเทคโนโลยี 'วีเออาร์' แล้ว สุดท้ายการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ก็ยังต้องพึ่งสายตาและความคิดของมนุษย์ ที่ถูกบีบด้วยข้อจำกัดด้านเวลา ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ตัดสิน 10 คน อาจมองประตูนี้แตกต่างกันแบบไม่เป็นเอกฉันท์ก็ได้
แค่เกมแรกก็ปวดกบาลแล้วสำหรับ 'วีเออาร์' หวังว่าในเกมต่อๆ ไป ทีมงานผู้ตัดสินจะไม่ต้องเจอจังหวะที่ยุ่งยากแบบนี้ และแฟนบอลเองก็คงหวังเห็นการแสดงออกที่โปร่งใสจากทีมงานผู้ตัดสินด้วย