จากชัยชนะของ เดนมาร์ก เหนือ เวลส์ 4-0 'แมน ออฟ เดอะ แมตช์' เป็นของ แคสเปอร์ โดลเบิร์ก อดีตดาวรุ่งเนื้อหอมที่ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกเคยจับตามอง
เกมที่ โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า มีจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมคือประตูแรกจาก โดลเบิร์ก เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของเกม ขณะที่รูปเกมของทั้ง เดนมาร์ก และ เวลส์ ยังคงออกเบียด
ลูกยิงหน้ากรอบโทษ หนักแน่น ติดไซด์โค้ง และที่สำคัญที่สุดคือเสียบมุม หากมองเผินๆ น่าจะเป็นลูกยิงของ คริสเตียน เอริคเซ่น แต่มันคือลูกยิงของ โดลเบิร์ก ศูนย์หน้าที่แฟนๆ ยากจะหาคำนิยามให้
สองประตูของ โดลเบิร์ก ในเกมนี้ ยังทำให้เขาเป็นนักเตะเดนมาร์กคนแรกที่ยิงอย่างน้อยสองประตูในทัวร์นาเมนต์รายการสำคัญ นับตั้งแต่ นิคลาส เบนท์เนอร์ ที่ยิง โปรตุเกส ในยูโร 2012
4-5 ปีที่แล้ว โดลเบิร์ก เคยเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นศูนย์หน้าดาวรุ่งเนื้อหอมฉุย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับนักเตะอายุน้อยที่โผล่มาสร้างชื่อกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
จริงๆ แล้ว โดลเบิร์ก ไม่ใช่ผลผลิตของศูนย์ฝึกเยาวชน อาแจ็กซ์ อย่างแท้จริง แต่เป็นเพราะสายตาที่แหลมคมของ ยอห์น สตีน โอลเซ่น แมวมองชาวเดนมาร์ก ที่เคยเห็นแวว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, วิคเตอร์ ฟิสเชอร์ และ คริสเตียน เอริคเซ่น มาก่อน เป็นคนแนะนำให้ อาแจ็กซ์ ดึงตัว โดลเบิร์ก มาจาก ซิลเคบอร์ก เมื่อปี 2015
อาแจ็กซ์ หมักฝีเท้า โดลเบิร์ก อยู่หนึ่งปี ก็ใส่ชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ฤดูกาล 2016-17 และจบซีซั่นแรก 23 ประตูจาก 47 เกมรวมทุกรายการ กลายเป็นเพชรเม็ดงามของ อาแจ็กซ์ และฟุตบอลเดนมาร์ก
โดลเบิร์ก ถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติเดนมาร์กชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 19 กลายเป็นศูนย์หน้าเนื้อหอมที่หลายสโมสรรุมตอมเหมือนแข้ง อาแจ็กซ์ ที่เคยสร้างชื่อคนแล้วคนเล่า หนึ่งในทีมที่มีข่าวด้วยคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นต้น
แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับดาวยิงวัยรุ่นที่น่าจะทำค่าตัวมหาศาลให้ อาแจ็กซ์?
การอำลาทีมของเทรนเนอร์ ปีเตอร์ โบสซ์ ก็มีผล
อาการบาดเจ็บของ โดลเบิร์ก ก็มีผล
การมาใหม่ของเทรนเนอร์ มาร์เซล ไคเซอร์ ตามด้วย เอริค เทน ฮาก ในฤดูกาล 2017-18 ก็มีผล
มีผลให้ โดลเบิร์ก ยิงไปแค่ 9 ประตูจาก 30 เกมรวมทุกรายการ
ในยุคของ เทน ฮาก มิดฟิลด์ตัวรุกมีบทบาทมากในการทำประตู เห็นได้จากจำนวนประตูของ ดูซาน ทาดิช กับ ฮาคิม ซิเยค ขณะที่ศูนย์หน้าตัวเป้าถูกลดบทบาทไม่พอ โดลเบิร์ก ยังเสียความเป็นเบอร์หนึ่งไปให้รุ่นพี่ คลาส-ยาน ฮุนเตลาร์ อีก
กับทีมชาติเดนมาร์ก อะไรๆ เริ่มไม่เป็นอย่างที่ใจคิด ผ่านปี 2018 ลงเล่น 6 เกมไม่มีประตูเลย ในจำนวนนั้นเกิดขึ้นในเวิลด์คัพ 2018 ด้วย ทำให้ตลอด 10 เกมในทีมชาติชุดใหญ่ มีให้เห็นแค่ประตูเดียว ซึ่งเป็นการยิง คาซัคสถาน
เมื่อความเป็นดาวรุ่งเริ่มลดหายไป เนื้อที่เคยหอมก็เริ่มไม่มีกลิ่นยั่วยวนใจ ความสนใจจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างก็เงียบหายไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับ โดลเบิร์ก
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมีแต่ทรุดกับทรุด และเมื่อมีข้อเสนอจาก นีซ ยื่นเข้ามาในช่วงต้นฤดูกาล 2019-20 โดลเบิร์ก จึงต้องไขว่คว้าเอาไว้
ซีซั่นแรกในลีกเอิง 11 ประตูจาก 23 เกม จบฤดูกาล 2019-20 ด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ นีซ พร้อมกับซัลโวในทีมชาติ 4 ประตูจาก 7 เกมที่ลงสนามในปี 2019
จากกราฟที่ชี้ขึ้น ดิ่งลง แล้วกลับมาชี้ขึ้น แต่พอเข้าสู่ปี 2020 ก็กลับมาดิ่งลงอีก
ฤดูกาลที่ผ่านมากับ นีซ มีเพียง 6 ประตูจากการลงสนาม 29 เกมรวมทุกรายการ และในทีมชาติปี 2020 ไม่มีประตูเลยจากการลงเล่น 5 เกม
ปัจจุบัน โดลเบิร์ก ในวัย 23 ปี ก้าวข้ามผ่านการเป็นดาวรุ่งมานานแล้ว หลังจากผ่านอะไรมามากมาย สิ่งสำคัญที่สุดที่อดีตกองหน้า อาแจ็กซ์ ต้องเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองให้ได้คือเรื่องความสม่ำเสมอ หรือความคงเส้นคงวา
จาก 2 ประตูที่ยิงใน ยูโร 2020 ทำให้เฉพาะปี 2021 โดลเบิร์ก ซัลโวไปแล้ว 4 ประตูจาก 6 เกมในทีมชาติเดนมาร์ก และหากผลงานกับ นีซ ในซีซั่นหน้ากลับมาเฉียบคมอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะได้ทำตามฝัน คือการไปเล่นในพรีเมียร์ลีกสักวัน