เรื่องราวของสโมสร แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คือหนึ่งในตำนานของพรีเมียร์ลีกที่ถูกจารึกเอาไว้ในประวัตศาสตร์ตลอดกาล
แบล็คเบิร์น สโมสรจากแลงคาเชียร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ พลิกสถานการณ์จากที่ต้องหนีตกชั้นในดิวิชั่น 2 (แชมเปี้ยนชิพ ปัจจุบัน) ฤดูกาล 1990-91 ก้าวขึ้นมาเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในปีต่อมา ซึ่งเป็นปีแรกที่เปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีกพอดี
ด้วยพลังเงินของ แจ็ค วอล์คเกอร์ เศรษฐีโรงเหล็ก นักธุรกิจชาวเมืองแบล็คเบิร์นแท้ๆ ที่เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรได้เพียงปีเดียว สามารถพลิกโฉมหน้าของทีมให้กลายเป็นทีมหัวตารางพรีเมียร์ลีก หนึ่งในนั้นคือการคว้าตัว อลัน เชียเรอร์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน
ภายหลังเลื่อนชั้น แบล็คเบิร์น จบอันดับ 4 ในฤดูกาลแรก 1992-93 เบียดบี้ลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่นต่อมา ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1994-95 เป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่สามนับตั้งแต่ฤดูกาล 1911-12 และ 1913-14
และแน่นอนที่สุด เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยเดียวของ แบล็คเบิร์น จนถึงเวลานี้
หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน แบล็คเบิร์น ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกมาแล้วสองครั้ง โดยหนสุดท้ายเกิดขึ้นตั้งแต่ฤดูกาล 2011-12 ซ้ำร้ายยังแอบลงไปป้วนเปี้ยนอยู่ในลีกวันหนึ่งปีในฤดูกาล 2017-18 ด้วย
นี่คือเรื่องราวแบบคร่าวๆ ของ แบล็คเบิร์น ในช่วงเวลาสามทศวรรษเศษๆ ที่ผ่านมา
ภายหลังเลื่อนชั้นจากลีกวัน นี่คือฤดูกาลที่ 4 ของ แบล็คเบิร์น ในแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งตลอดสามซีซั่นที่ผ่านมา พวกเขาไม่ใกล้เคียงกับการลุ้นเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเลย
จนกระทั่ง ฤดูกาล 2021-22
ก่อนเริ่มซีซั่นนี้ แฟนๆ แบล็คเบิร์น ต้องก้มหน้ายอมรับสถานการณ์ของทีมที่จำเป็นต้องขาย อดัม อาร์มสตรอง ไปให้ เซาธ์แฮมป์ตัน แลกกับค่าตัวราวๆ 15 ล้านปอนด์ ทั้งที่ศูนย์หน้าวัย 24 ปีเป็นดาวซัลโวของทีมมาตลอดสองฤดูกาล 17 ประตูซีซั่น 2019-20 และ 29 ประตูซีซั่น 2020-21
และคงไม่มีใครเชื่อว่า คนที่เข้ามาทดแทนการขาดหายไปของ อาร์มสตรอง คือ เบน เบรเรตัน ปีกที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ย้อนกลับไปซีซั่น 2018-19 แบล็คเบิร์น ยืมตัว เบรเรตัน มาจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เพื่อเสริมแนวรุกตำแหน่งปีกขวา ผ่านครึ่งทางของฤดูกาล ไม่มีประตูเลยจาก 16 เกมที่ลงเล่น แต่การมีส่วนร่วมกับทีมในการสร้างสรรค์เกมรุกถือว่าสอบผ่าน
แบล็คเบิร์น จึงยอมจ่าย 7 ล้านปอนด์ซื้อขาด เบรเรตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้ ฟอเรสต์ ยิ้มแก้มปริแน่นอน
จบซีซั่นแรก มีเพียงประตูเดียวจาก 28 เกม, ซีซั่น 2019-20 ดูเหมือนจะหนักกว่านั้น มีเพียงประตูเดียวเหมือนเดิม แต่ได้ลงเล่นน้อยลงเพียง 17 เกม
สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว ที่มี 7 ประตูจากการเป็นตัวหลักของทีม ลงเล่น 43 เกมรวมรายการ แต่บทบาทในสามประสานแดนหน้าเป็นรองทั้ง อดัม อาร์มสตรอง ที่ยิง 28 ประตูในลีก และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่แอสซิสต์ไป 11 ประตูในลีก
ดังนั้น เมื่อ โทนี่ โมว์เบรย์ ผู้จัดการทีมเสียทั้ง อาร์มสตรอง และ เอลเลียตต์ (หมดสัญญายืมตัวกลับ ลิเวอร์พูล) ความหวังในการทำประตูจึงต้องตกมาอยู่กับ เบรเรตัน แบบเต็มๆ
การเปลี่ยนบทบาทจากปีกมายืนศูนย์หน้าเต็มตัวของ เบรเรตัน ถือเป็นเรื่องที่ลงตัวมากๆ ประกอบกับ การถูกเรียกตัวติดทีมชาติชิลี (ทางเชื้อสายมารดา และเพิ่มนามสกุลมาเป็น เบรเรตัน ดิอาซ) ทำให้ฝีเท้าและการยิงประตูดีขึ้นผิดหูผิดตา
เบรเรตัน ดิอาซ ยิงไป 3 ประตูจากการเล่น 9 เกมให้ทีมชาติชิลี ขณะที่ผลงานกับต้นสังกัด แบล็คเบิร์น ซัลโวไปแล้ว 20 ประตูจาก 24 เกมในแชมเปี้ยนชิพ
จากผลงานลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แถวกลางตารางในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน แบล็คเบิร์น คว้าชัยชนะมากถึง 11 เกมจาก 15 เกมหลังสุดในลีก เป็นการโกยแต้มมากที่สุดในบรรดาทุกทีมในช่วงเวลาเดียวกัน
และนั่นเองที่ส่งให้ แบล็คเบิร์น ขยับจากกลางตาราง พุ่งสู่พื้นที่เพลย์ออฟ และก้าวขึ้นไปท้าทายทีมหัวตารางแบบไม่มีใครฉุดอยู่ หนึ่งในนั้นต้องยกความดีความชอบให้การยิงกระจายของ เบรเรตัน ดิอาซ
นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันหลังจบเกมแชมเปี้ยนชิพ เมื่อวันที่ 26 มกราคม
1. ฟูแล่ม 27 เกม 57 คะแนน
2. แบล็คเบิร์น 28 เกม 52 คะแนน
3. บอร์นมัธ 27 เกม 49 คะแนน
4. ควีนส์ปาร์ค 27 เกม 48 คะแนน
5. เวสต์บรอมวิช 28 เกม 45 คะแนน
6. ฮัดเดอร์สฟิลด์ 28 เกม 44 คะแนน
แบล็คเบิร์น มีโอกาสดีมากๆ กับการลุ้นเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งทศวรรษพอดี
เชื่อว่า ถึงจะไม่ใช่แฟนบอล กุหลาบไฟ แต่ถ้าเป็นแฟนบอลพรีเมียร์ลีกยุค 90 พันธ์แท้ คงอยากเห็นเสื้อสีน้ำเงิน(ฟ้า)-ขาว กลับมาอยู่บนจุดสูงสุดของฟุตบอลลีกอังกฤษอีกครั้งแน่นอน