ถ้าพูดถึง น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คุณนึกถึงอะไร? แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัย ฤดูกาล 1978-79 และ 1979-80
ถ้าเป็นแฟนบอลยุค 90 คงไม่มีลืมความมหัศจรรย์ของ สแตน 'เดอะ แมน' คอลลิมอร์ ที่พาทีมเลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 1 (แชมเปี้ยนชิพ ปัจจุบัน) ฤดูกาล 1993-94 จบสูงถึงอันดับสามในฐานะทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1994-95 และได้ตั๋วไปเล่นยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1995-96
อย่างไรก็ตาม หลังจากตกชั้นและเลื่อนชั้นกลับมาระหว่างปี 1997-1998 ฟอเรสต์ ได้ลงเล่นพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1998-99 เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ไม่เคยได้กลับมาสัมผัสลีกสูงสุดอีกเลย
สำหรับแฟนบอล 'เจ้าป่า' ความเจ็บปวดมันมีมากกว่านั้น กับการต้องหล่นไปเล่นใน ลีกวัน นานถึงสามฤดูกาลระหว่างซีซั่น 2005-06 ถึง 2007-08
ตลอด 13 ฤดูกาลในแชมเปี้ยนชิพ นับตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 มีเพียงสองครั้งที่ได้ลุ้นเลื่อนชั้นในรอบเพลย์ออฟ แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน นอกนั้นแทบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย แถมยังเกือบตกชั้นสู่ลีกวันอีกหนในฤดูกาล 2016-17
ฤดูกาลนี้ก็เริ่มต้นมาทำท่าว่าจะแย่ กับผลงานของ คริส ฮิวจ์ตัน ที่ 7 เกมแรก เก็บได้เพียงคะแนนเดียว และที่น่าเจ็บช้ำสุดๆ คือแฟนบอล เจ้าป่า ที่ต้องทนเห็นทีมพ่ายแพ้ทั้ง 4 เกมในรัง ซิตี้ กราวด์
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีทันใด สตีฟ คูเปอร์ คือคนที่ถูกเลือก
ประวัติของ คูเปอร์ ถือเป็นโค้ชที่มีโปรไฟล์น่าสนใจ นอกจากเป็นกุนซือทีมชาติอังกฤษ ยู-17 ชุดแชมป์โลกปี 2017 แล้ว การคุม สวอนซี ก็พาทีมเล่นรอบเพลย์ออฟ เลื่อนชั้น ทั้งสองฤดูกาล
ซีซั่น 2019-20 สวอนซี แพ้ต่อ เบรนท์ฟอร์ด รอบรองฯ และซีซั่นต่อมา สวอนซี ก็แพ้ เบรนท์ฟอร์ด ทีมเดิมในรอบชิงฯ นั่นคือจุดที่ทำให้ คูเปอร์ ถอดใจอำลาทีมจากเซาธ์เวลส์
หลังจากเข้ารับงานในถิ่น ซิตี้ กราวด์ แน่นอนเป้าหมายในเวลานั้นคือการรอดตกชั้น แล้วค่อยไปนับหนึ่งใหม่ในฤดูกาลหน้า แต่นั่นคือเป้าหมายต่ำสุดของ คูเปอร์
ผลงานของ ฟอเรสต์ จากที่ ฮิวจ์ตัน ทำเอาไว้ 7 เกมแรก เสมอ 1 แพ้ 6 คูเปอร์ เข้ามาพลิกโฉมทีม แพ้เพียงแค่เกมเดียวจาก 16 เกมต่อมา โกยแต้มเป็นกอบเป็นกำ จนพลิกสถานการณ์ให้ทีมขึ้นมาลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ
คูเปอร์ เปลี่ยนสไตล์การเล่นของ ฟอเรสต์ ให้เป็นทีมที่ต่อบอลสั้นจากผู้รักษาประตู แนวรับ แดนกลาง ขึ้นไปถึงแดนหน้า ด้วยศักยภาพของผู้เล่นที่ดีพออยู่แล้ว จึงสามารถเล่นแนวทางเดียวกับทีมใหญ่พรีเมียร์ลีกได้เลย แตกต่างจากหลายๆ ทีมในแชมเปี้ยนชิพ ที่ยังต้องเล่นบอลสาดยาวแบบไม่มีทางเลือก
นับตั้งแต่ปฏิทินเปลี่ยนมาเป็นปี 2022 ฟอเรสต์ ลงเล่นเกมลีกไปแล้ว 18 เกม มีผลงานที่น่าทึ่งมากๆ ชนะ 13 เสมอ 3 และแพ้ 2 จากเป้าหมายในการลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ ตอนนี้ขยับสูงขึ้นคือลุ้นเลื่อนชั้นอัตโนมัติ
ด้วยฟอร์มการยิงประตูอย่างร้อนแรงของ เบรนแนน จอห์นสัน ดาวรุ่งทีมชาติเวลส์ ที่ซัลโวไปแล้ว 16 ประตูในฤดูกาลนี้ ตามด้วย ลูอิส แกร๊บแบน กองหน้าตัวเก๋าที่ยิง 13 ประตู และ คีแนน เดวิส ศูนย์หน้าร่างใหญ่ที่เป็นตัวเก็บบอลพักบอลชั้นดี แม้ตัวเลขการทำประตูมีไม่มาก
ตัวสนับสนุนการทำประตูจากแดนกลาง ไรอัน เยทส์ ที่ยิงไปถึง 9 ประตู, ฟิลิป ซิงเคอร์นาเกิล อีก 7 ประตู, เจมส์ การ์เนอร์ อีก 4 ประตู รวมถึงแบ็กขวาเนื้อหอม เชด สเปนซ์ ที่ทำไปแล้ว 3 ประตู กับแอสซิสต์อีกเพียบ
สถานการณ์ในแชมเปี้ยนชิพ เดินทางเข้าสู่สองเกมสุดท้ายของฤดูกาลคือเกมที่ 45 และ 46 แต่มีเพียงสองทีมเท่านั้นที่เหลือเกมตกค้าง 1 เกม นั่นคือ ฟอเรสต์ อันดับ 3 กับ บอร์นมัธ อันดับ 2 ซึ่งทั้งสองทีมมีช่องว่างห่างกันเพียง 3 คะแนน และตอนนี้ประตูได้เสียก็เท่ากันที่ +30
ซึ่งจริงๆ บอร์นมัธ ควรจะการันตีเลื่อนชั้นอัตโนมัติตาม ฟูแล่ม จ่าฝูงไปแล้ว หากทีมของ สกอตต์ พาร์เกอร์ ไม่แผ่วเองในช่วงหลัง คว้าชัยชนะได้เพียงเกมเดียวจาก 6 เกมหลังสุด สวนทางกับ ฟอเรสต์ ที่กวาดชัยชนะ 8 จาก 9 เกมหลังสุด จนไล่มากระชั้นจนได้
เกมสำคัญของ ฟอเรสต์ ที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม บ้าน บอร์นมัธ ถูกจัดวางโปรแกรมเล่นกลางสัปดาห์หน้า หรือคั่นกลางระหว่างเกมที่ 45 และ 46
แต่ก่อนจะไปวัดกันถึงจุดนั้น ฟอเรสต์ ต้องห้ามพลาดเกมในบ้านเจอกับ สวอนซี วันเสาร์นี้ ขณะที่ บอร์นมัธ มีงานหนักเยือน แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ทีมที่ลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟอยู่ด้วย
ขณะที่เกมสุดท้ายของฤดูกาล ฟอเรสต์ บุกเยือน ฮัลล์ ขณะที่ บอร์นมัธ เล่นในบ้านเจอกับ มิลล์วอลล์
หาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ กวาดชัยชนะรวดทั้งสามเกมที่เหลือ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะแซงจบอันดับสอง คว้าตั๋วเลื่อนชั้นอัตโนมัติ
และเกมสำคัญที่สุดของฤดูกาลจะอยู่ที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม กลางสัปดาห์หน้า
