ในช่วงหลายปีหลังมานี้ เบลเยียม มีทีมที่ดีพอไปถึงแชมป์เวิลด์คัพ แชมป์ยูโร แต่หลังจากหมดยุคทองชุดนี้ไปแล้ว พวกเขาอาจต้องสร้างทีมใหม่
การสร้างทีมสโมสร สามารถใช้เงินซื้อความแข็งแกร่ง และซื้อความสำเร็จได้ในระยะสั้น แต่การสร้างทีมชาติต้องใช้เวลาในการค้นหานักเตะฝีเท้าดี และต้องมาพร้อมๆ กันหลายคนด้วย ถึงจะกลายเป็นทีมที่ลุ้นความสำเร็จได้
เบลเยียม เคยล้มเหลวหลังจากจบศึกเวิลด์คัพ 2002 ที่จอดป้ายรอบ 16 ทีมสุดท้าย แฟนๆ เร้ด เดวิลส์ ต้องเก็บกดกับการพลาดทัวร์นาเมนต์ใหญ่ติดต่อกันถึง 5 ทัวร์นาเมนต์ ตั้งแต่ ยูโร 2004, เวิลด์คัพ 2006, ยูโร 2008, เวิลด์คัพ 2010 และ ยูโร 2012
นั่นคือความเลวร้ายของวงการฟุตบอลเบลเยียมมาตลอดหนึ่งทศวรรษ ที่แฟนๆ ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แว็งซ็องต์ ก็องปานี ที่ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2004 มองเห็นความตกต่ำของทีมที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี และมองเห็นการก้าวเข้ามาสู่ทีมชาติของ ยาน แฟร์ทองเก้น ปี 2007, เอแดน อาซาร์ ปี 2008, โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ ปี 2009, โรเมลู ลูกากู กับ เควิน เดอ บรอยน์ ปี 2010, ตีโบต์ กูร์กตัวส์ กับ ดรีส เมอร์เทนส์ ปี 2011
เบลเยียม ต้องใช้เวลาในการสร้างทีม และกว่าจะรวมตัวกันจนเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ต้องรอถึงการกลับสู่เวิลด์คัพ รอบสุดท้าย ในปี 2014 ที่ทะลุไปจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย
โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ โค้ชชาวสเปน เข้ามารับงานต่อจาก มาร์ก วิลม็อตส์ ที่อำลาทีมหลังจากไปจอดรอบ 8 ทีมสุดท้ายเช่นกันในทัวร์นาเมนต์ต่อมา ยูโร 2016
มาร์ติเนซ เข้ามาพร้อมกำลังสนับสนุนที่ทำให้ เบลเยียม เป็นทีมที่แข็งแกร่งและครบเครื่องมากขึ้น อาทิ ยูริ ตีเลมันส์, ยานนิก การ์ราสโก้, มิชี่ บาตชูอายี่ เป็นต้น
มีการยกย่องให้ เบลเยียม ชุดนี้คือ โกลเด้น เจเนอเรชั่น ของวงการฟุตบอลเบลเยียม และมีโอกาสที่จะไปถึงแชมป์เวิลด์คัพ หรือ ยูโร ได้เลย
น่าเสียดายที่ เบลเยียม ไปสะดุดแพ้ ฝรั่งเศส 0-1 ในรอบรองชนะเลิศ เวิลด์คัพ 2018 และได้อันดับสามในทัวร์นาเมนต์ที่รัสเซียไปครอง
ยูโร 2020 ก็ยังเป็นโอกาสที่จับต้องได้ของ เบลเยียม แต่ต้องไปชนของแข็งในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และแพ้ต่อ อิตาลี 1-2
ความล้มเหลวใน 4 ทัวร์นาเมนต์ ที่ไม่สามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้เลย บวกกับทีมที่ยังยึดตัวหลักหน้าเดิมๆ ต่อเนื่องหลายปี มีดาวรุ่งที่ถูกตั้งความหวัง แต่ก็ไม่สามารถสอดแทรกเข้ามาเป็นตัวหลักระยะยาวได้
จึงมีความสงสัยว่า เบลเยียม จะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อหมดยุค 'โกลเด้น เจน' ไปแล้ว
เกมยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก นัดแรกของฤดูกาล 2022-23 จึงสะท้อนอะไรบางอย่าง หลังจากแพ้คาบ้านต่อ เนเธอร์แลนด์ส เละเทะ 1-4
สกอร์ที่เกิดขึ้น มาร์ติเนซ ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ แม้แนวรุกตัวจริงมีชื่อ โรเมลู ลูกากู กับ เอแดน อาซาร์ แต่ทั้งคู่กำลังเผชิญปัญหากับต้นสังกัดของตัวเองอยู่
ลูกากู กลายเป็นกองหน้าสำรองในทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล แทบจะต่อเนื่องในปี 2022 ขณะที่ อาซาร์ ปัญหาบาดเจ็บ ความฟิต และฟอร์มตก เล่นงานที่ เรอัล มาดริด มานานแล้ว และส่งผลกระทบต่อทีมชาติอย่างเห็นได้ชัด
แนวรับ ยาน แฟร์ทองเก้น อยู่ในวัย 35, โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ วัย 33 ใกล้ปลดระวางในนามทีมชาติเต็มทีแล้ว และตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นสายเลือดใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาทดแทนได้
ที่เห็นอยู่ พอจะมีแค่ อาร์ตูร์ เตอัต กองหลังวัย 22 ปีที่เป็นตัวหลักของ โบโลญญ่า เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็ยังต้องให้เวลาอีกสักระยะ
เช่นเดียวกับ ดาวรุ่งหรือสายเลือดใหม่คนอื่นๆ อย่าง อเล็กซิส ซาเลมาเกอร์ส ปีกที่สามารถเล่นวิงแบ็กหรือฟูลแบ็กได้ของ เอซี มิลาน, เฌเรมี่ โดกู ปีกความเร็วสูงของ แรนส์, ชาร์ลส์ เดอ เกเตอแลร์ กองหน้ากึ่งปีกของ คลับ บรูช, อามาดู โอนาน่า กองกลางเชื้อสายเซเนกัลที่กำลังเนื้อหอมของ ลีลล์ เป็นต้น
ชาร์ลส์ เดอ เกเตอแลร์
ถึงตอนนี้ ทั้งหมดที่เอ่ยมา แค่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมชาติเบลเยียมได้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ามาทดแทนดาวดังอย่าง อาซาร์, ลูกากู, เดอ บรอยน์, แฟร์ทองเก้น, อัลเดอร์แวเรลด์ ได้
หรือบางที หากหมดยุค 'โกลเด้น เจน' ไปแล้ว เบลเยียม อาจต้องใช้เวลาคลุกฝุ่นอีกครั้ง กว่าจะกลับมาสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้เหมือนเคย