"ผมเข้าใจที่แฟนๆ หัวเสีย พวกเขาเห็นทีมคู่แข่งได้นักเตะใหม่เข้ามา แล้วเราไม่ได้ใคร"
ไม่ใช่แค่ผลการแข่งขัน ไม่ใช่แค่อันดับในตารางคะแนน แต่เป็นเพราะปัญหาภายใน และบทสัมภาษณ์ทิ้งระเบิดใส่สโมสรที่ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กลายเป็นเต็งหนึ่งผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกที่จะโดนไล่ออกเป็นรายต่อไป
ประเด็นหลักที่ ร็อดเจอร์ส และแฟนๆ เดอะ ฟ็อกเซส ตั้งข้อสงสัยและยังคาใจคือการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ หลังจากตลาดซื้อขายปิดทำการไปแล้ว
เลสเตอร์ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยตลอดเดือนกรกฏาคม จนกระทั่ง คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูผู้เป็นตำนานของสโมสร อำลาไปอยู่กับ นีซ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม จากนั้นสโมสรถึงไปเซ็นฟรี อเล็กซ์ สมิทธี่ส์
ตามด้วยการจำใจขาย เวสลี่ย์ โฟฟาน่า เซนเตอร์แบ็กหนุ่มได้ค่าตัวมหาศาล 70+5 ล้านปอนด์ ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเดดไลน์ สโมสรจึงไปซื้อ เวาต์ ฟาส กองหลังทีมชาติเบลเยียม ที่แฟนๆ แทบไม่คุ้นชื่อกันเลย เจียดเงินจ่ายค่าตัวไปราวๆ 15 ล้านปอนด์
การปิดตลาดซื้อขายซัมเมอร์ไปแบบนี้ สร้างความหงุดหงิดใจให้กับ ร็อดเจอร์ส และแฟนๆ ที่เริ่มตั้งข้อสงสัยถึงแผนการสร้างทีมของสโมสรในฤดูกาล 2022-23 กันมากขึ้นเรื่อยๆ
"นี่ไม่ใช่สโมสรที่เคยเป็นเมื่อสองสามปีก่อน" ร็อดเจอร์ส หล่นคำพูดนี้หลังจบเกมที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 คารัง คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ในคืนวันปิดตลาด
"หากมองดูสโมสรในห้าลีกใหญ่เสริมทัพกันแล้ว เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ซึ่งกลายเป็นเรื่องยาก เราต้องการการสนับสนุน และเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้"
"ผมมาที่ เลสเตอร์ เพื่อแข่งขัน และตอนแรกผมสามารถทำแบบนั้นได้ คุณต้องเพิ่มคุณภาพในทีม แต่ในช่วงสองตลาดซื้อขายที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำแบบนั้นเลย"
"ผมอยากเสริมทัพเพิ่ม 5 หรือ 6 คน แต่ถ้าคุณไม่สามารถทำอย่างนั้นได้แล้ว คุณก็ต้องเคารพมัน และทำงานอยู่กับสิ่งที่เรามีต่อไป"
เลสเตอร์ สามารถท้าทายพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาสองฤดูกาล (2019-20 และ 2020-21) ภายใต้การนำของ ร็อดเจอร์ส แต่โชคร้ายที่มาพลาดท่าในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น
แต่สถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในฤดูกาล 2022-23 เป้าหมายของ ร็อดเจอร์ส เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
"เป้าหมายของเราในฤดูกาลนี้คือการไปให้ถึง 40 คะแนน" ในความหมายของ ร็อดเจอร์ส คือการรอดตกชั้น
การเสีย ชไมเคิ่ล ไป ถือเป็นการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายแล้ว
ในมุมของผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์ก เขาตอบแทนสโมสรมามากมายแล้ว ทั้งการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก คว้าแชมป์เอฟเอคัพ
ในมุมของ เลสเตอร์ ได้ค่าตัวกลับมาแม้ไม่มากไม่มาย แต่ก็ดีกว่าเสียฟรีตอนหมดสัญญาในช่วงกลางปีหน้า
การดึง อเล็กซ์ สมิทธี่ส์ เข้ามาแบบไม่มีค่าตัว เป็นการวางแผนที่จะให้เข้ามาเป็นมือสามเท่านั้น เพราะจะขยับ แดนนี่ วอร์ด ขึ้นมาเป็นมือหนึ่งแทน ชไมเคิ่ล และ ดาเนียล อีเวอร์เซ่น เป็นมือสองแทน
การจะเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักระดับพรีเมียร์ลีก ความสามารถในการป้องกันประตูอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณจะต้องมีคาแร็กเตอร์ มีความเป็นผู้นำ และสามารถสั่งการต่างๆ ได้
ซึ่งผ่าน 5 เกมแรกไปแล้ว เรายังไม่ได้เห็นสิ่งนั้นจาก แดนนี่ วอร์ด
ขณะที่ประเด็นคาราคาซังของ โฟฟาน่า จบลงแบบที่ เลสเตอร์ ได้ผลประโยชน์มหาศาล จากค่าตัวที่สูงเกินคาด เพราะป่วยการที่จะรั้งนักเตะเอาไว้ ถึงตัวอยู่ แต่ใจลอยไป เชลซี แล้ว
แต่การได้ค่าตัว 70+5 ล้านปอนด์มาในวันที่ 31 สิงหาคม จึงเหลือเวลาน้อยเกินไปที่จะเสริมทัพในวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์นี้ มีเพียง เวาต์ ฟาส ที่บรรลุข้อตกลงได้ก่อนหน้านี้แล้ว
แม้ ร็อดเจอร์ส จะแสดงความผิดหวังภาพรวมของสโมสรในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่เขาจะอยู่สู้ต่อไปในฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าจะมีการตัดสินใจใดๆ จากทางสโมสร
แต่หากผู้บริหาร เลสเตอร์ ยังคงเชื่อมือและให้โอกาส ร็อดเจอร์ส ต่อไป ค่าตัวของ โฟฟาน่า จะต้องถูกนำมาจับจ่ายใช้สอยทันทีที่ตลาดซื้อขายวินเทอร์เปิดทำการในเดือนมกราคมปีหน้า