"เราเชื่อว่าเขามีอนาคตที่สดใสรออยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" หนึ่งในประโยคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ทำนายทายทัก ดีโอโก้ ดาโลต์ ตอนย้ายมาใหม่ๆ
4 ปีที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญานักเตะคนแรกในช่วงตลาดซัมเมอร์ตามความต้องการของผู้จัดการทีม มูรินโญ่ ท่ามกลางความงุนงงของแฟนๆ ผีแดง ที่ส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ ดีโอโก้ ดาโลต์ มาก่อน
ไม่แปลกอะไรที่แฟนบอลไม่เคยคุ้นชื่อมาก่อน เพราะ ดาโลต์ เองก็เพิ่งก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ ปอร์โต้ ได้เพียงปีเดียว แถมลงเล่นไปเพียง 8 เกมรวมทุกรายการเท่านั้น
แต่อันที่จริง ผลงานของ ดาโลต์ ที่ถูกจับตาจากหลายสโมสร มาจากการเป็นตัวหลักของทีมชาติโปรตุเกส ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี (คว้าแชมป์ยูโร ยู-17 ปี 2016), ชุดอายุไม่เกิน 19 ปี, ชุดอายุไม่เกิน 20 ปี และชุดอายุไม่เกิน 21 ปี
แม้โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานในฤดูกาล 2017-18 แต่ มูรินโญ่ ทราบดีว่าไม่สามารถรอให้นักเตะหายเจ็บกลับมาได้ จึงร้องขอ เอ็ด วูดเวิร์ดส์ ให้รีบดำเนินการคว้าตัวมาจาก ปอร์โต้ ตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของตลาดซัมเมอร์ปี 2018
สัญญาของ ดาโลต์ กับ ปอร์โต้ ในช่วงเวลานั้น มีค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ 17.5 ล้านปอนด์ แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกจ่ายแพงกว่านั้น 19 ล้านปอนด์ เพราะต้องการเอาชนะคู่แข่งอีก 8 สโมสรที่แสดงความสนใจโดยเร็วที่สุด
การเซ็นสัญญากับ ดาโลต์ อาจไม่ได้รับความสนใจจากแฟนบอลมากนัก เพราะดูเหมือนเป็นการเสริมทัพเพื่ออนาคตมากกว่า กับการดึงฟูลแบ็กวัย 19 ปี ที่เล่นแบ็กขวา และสามารถเล่นแบ็กซ้ายได้ด้วย
"เขามีคุณลักษณะทุกอย่างที่ฟูลแบ็กต้องการ ทั้งด้านร่างกาย ความเข้าใจแท็กติก และคุณภาพทางเทคนิค รวมถึงแนวคิดของศูนย์ฝึกเยาวชน ปอร์โต้ ที่เตรียมพร้อมนักเตะด้านวุฒิภาวะในการก้าวสู่ขั้นมืออาชีพ"
"ในช่วงกลุ่มวัยของเขา เขาคือฟูลแบ็กที่ดีที่สุดในยุโรป และเราทุกคนเชื่อว่าเขามีอนาคตที่สดใสรออยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" มูรินโญ่ เอ่ยเอาไว้ตอนเซ็นสัญญากับ ดาโลต์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2018
อีก 15 วันต่อมา ความสนใจของแฟนบอลก็ไปจับจ้องที่ เฟร็ด กองกลางทีมชาติบราซิล ที่ย้ายมาจาก ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ค่าตัวมหาศาล 47 ล้านปอนด์ เป็นการปาดหน้าคู่ปรับร่วมเมือง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ซีซั่นแรกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ง่ายเลยสำหรับนักเตะหนุ่มวัย 19 ปีที่เพิ่งออกเดินทางสู่ต่างแดน แถมพกอาการบาดเจ็บติดตัวมาจาก ปอร์โต้ ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้านาย มูรินโญ่ ก็ถูกไล่ออกไปอีกในเดือนธันวาคม เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก้าวเข้ามา
อุปสรรคของ ดาโลต์ มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลาดซัมเมอร์ปีต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ด ทุ่มเงิน 45 ล้านปอนด์ (+5 ล้านปอนด์) ไปซื้อ อารอน วาน-บิสซาก้า มาจาก คริสตัล พาเลซ
จาก 23 เกมรวมทุกรายการในซีซั่นแรก เหลือเพียง 11 เกมรวมทุกรายการในซีซั่นสอง ซึ่งเป็นการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเพียง 4 เกมเท่านั้น
ในช่วงเวลานั้น สถานการณ์ของ ดาโลต์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด คลุมเครืออย่างมาก โอกาสได้อยู่ต่อ มีพอๆ กับการย้ายทีม แม้นักเตะต้องการอยู่สู้ต่อไปก็ตาม
ทางออกที่ดีที่สุดคือการส่ง ดาโลต์ ไปเล่นกับ เอซี มิลาน ด้วยสัญญายืมตัวตลอดฤดูกาล 2020-21
ดาโลต์ ได้ลงเล่นในชุด รอสโซเนรี่ ไปทั้งสิ้น 33 เกม ยิง 2 ประตู บทบาทส่วนใหญ่คือแบ็กขวา
การกลับมาที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกครั้งในช่วงกลางปี 2021 สถานะของ ดาโลต์ เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ประกอบกับฟอร์มที่ตกต่ำดำดิ่งลงของ วาน-บิสซาก้า
การถูกไล่ออกของ โซลชา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ดาโลต์ กลับมามีโอกาสอีกครั้ง
ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่รักษาการณ์คุมทีม มอบโอกาสสำคัญให้ ดาโลต์ ลงตัวจริงแทน วาน-บิสซาก้า ในเกมชนะ อาร์เซน่อล 3-2 ซึ่งเป็นงานสุดท้ายก่อนส่งไม้ต่อให้ ราล์ฟ รังนิก คุมจนจบซีซั่น
หลังจากนั้น ดาโลต์ ก็เป็นตัวเลือกแบ็กขวาลำดับแรกของ รังนิก โดยจบซีซั่น 2021-22 ด้วยการลงเล่นไป 30 เกมรวมทุกรายการ
จากที่เกือบขายทิ้งช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ถัดมาหนึ่งปี คนที่ถูกสโมสรพิจารณาปล่อยตัวกลายเป็น วาน-บิสซาก้า แต่สุดท้ายทั้งสองคนยังคงอยู่กับทีมในฤดูกาล 2022-23 ภายใต้การคุมทีมของนายใหม่ เอริค เทน ฮาก
จาก 7 เกมแรกของ เทน ฮาก มีนักเตะเพียง 3 คน ที่ได้ลงตัวจริงครบทุกเกม (พรีเมียร์ลีก 6 นัด, ยูโรปาลีก 1 นัด) นั่นคือ ดาบิด เด เคอา, คริสเตียน เอริคเซ่น และ ดาโลต์
นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ ดาโลต์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขากลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่แค่เพราะจุดเด่นเรื่องการเติมเกมบุก การครอสบอลจากริมเส้น แต่มันมาจากเกมรับ ที่สามารถแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองได้เยอะ
และสิ่งที่แฟนบอล ผีแดง ปรารถนาที่จะเห็นมากที่สุด นั่นคือแพสชั่นในสนาม การแสดงออกอย่างบ้าคลั่งในจังหวะป้องกันประตูช่วงท้ายเกมที่ เลสเตอร์ และอีกหลายๆ จังหวะ คือสิ่งที่ไม่เคยเห็นจากสีหน้า วาน-บิสซาก้า