หลังจบเกมบ็อกซิ่งเดย์ เราได้เห็นความชัดเจนมากขึ้น ถึงโอกาสการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกซีซั่นหน้า เมื่อดูจากตารางคะแนนของศึกแชมเปี้ยนชิพ
สองทีมที่คว้าชัยชนะมากที่สุด 14 เกม หลังผ่าน 24 เกมแรก สองทีมที่แพ้น้อยที่สุดเป็นสองอันดับจากบรรดา 24 ทีม และสองทีมที่ยิงทะลุหลัก 40 ประตูไปแล้ว และมีประตูได้เสียที่โดดเด่นกว่าอีก 22 ทีม คือบวก 20 ประตูขึ้นไป
นั่นคือจ่าฝูง เบิร์นลี่ย์ กับรองจ่าฝูง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ทำแต้มเบียดกันมา 50 กับ 47 คะแนน ตามลำดับ
ชัยชนะในเกมบ็อกซิ่งเดย์ของ เบิร์นลี่ย์ กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อบรรดาทีมที่ไล่หลังมาอันดับ 3, 4, 5 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, วัตฟอร์ด และ นอริช ซิตี้ ต่างสะดุดแพ้กันทั้งหมด
ช่องว่างระหว่างพื้นที่เลื่อนชั้นอันดับ 2 กับพื้นที่เพลย์ออฟอันดับ 3 จึงถูกฉีกออกไปเป็น 8 คะแนนแล้ว
และด้วยผลงานในช่วงหลัง บวกกับคุณภาพและปริมาณนักเตะของทั้งสองทีมที่เหนือกว่าชาวบ้านชาวช่อง แฟนๆ ของทั้ง เดอะ คลาเรตส์ และ เดอะ เบลดส์ จึงวาดฝันถึงการกลับสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2023-24 กันบ้างแล้ว
เบิร์นลี่ย์ เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกซีซั่นก่อน หลังจากปักหลักอยู่ในลีกสูงสุดมา 6 ฤดูกาลติดต่อกัน
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตกชั้นมาก่อนหนึ่งฤดูกาล โดยซีซั่นที่แล้วมีลุ้นเลื่อนชั้นกลับขึ้นไปทันที เมื่อเร่งเครื่องจนก้าวขึ้นมาจบอันดับ 5 แต่สุดท้ายไม่ผ่านรอบรองชนะเลิศ เพลย์ออฟ
นั่นทำให้ทั้ง เบิร์นลี่ย์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยังคงผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในระดับพรีเมียร์ลีกอยู่ในทีม
และด้วยสถานการณ์หลังจบเกมบ็อกซิ่งเดย์ บรรดาทีมที่ไล่หลังมาต่างท้อและหมดหวังกันไปตามๆ กัน
การสะดุดของ แบล็คเบิร์น, วัตฟอร์ด, นอริช ทำให้คะแนนยังคงอยู่ที่ 39, 37, 35 คะแนนตามลำดับ เพิ่มความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไล่หลังลงไปถึงอันดับ 16 สวอนซี ซิตี้ มี 32 คะแนน ไล่หลังอันดับ 5 แค่ 3 แต้มเท่านั้น
หมายความว่า หากบรรดาทีมในกลุ่มเพลย์ออฟพลาดสะดุดอีกนัดหรือสองนัด สามารถร่วงลงไปไกลถึงครึ่งล่างของตารางได้เลย
และที่น่าสนใจคือทีมอย่าง มิดเดิลสโบรช์ กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ที่ปลดโค้ชช่วงปลายเดือนตุลาคม ตอนที่สถานการณ์ลงไปจุ่มอยู่ในโซนแดง แต่ตอนนี้ทั้งสองทีมไล่บี้โซนเพลย์ออฟเหลือแค่ 2 และ 3 แต้มแล้วตามลำดับ
นี่คือจุดเด่นของศึกแชมเปี้ยนชิพ ที่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผลการแข่งขันที่ยากจะคาดเดา ชัยชนะสองเกมติด หรือความพ่ายแพ้สองเกมติด ที่สามารถพลิกโฉมหน้าในตารางคะแนนแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย
จึงไม่แปลกที่เรามักได้เห็นการไล่โค้ชกันแบบต่อเนื่อง อย่างล่าสุดที่ นอริช แพ้สองเกมติดต่อกัน ก็ปลด ดีน สมิธ เป็นที่เรียบร้อย แม้ยังเกาะอยู่อันดับ 5 แต่สถานการณ์กำลังเสี่ยงภัยสุดๆ
การลุ้นดาวซัลโวแชมเปี้ยนชิพก็เช่นกัน แรกเริ่ม ออสการ์ เอสตูปินยาน ดาวยิงโคลอมเบียของ ฮัลล์ ซิตี้ ยิงโดดเด่นทิ้งห่างคู่แข่ง จากนั้น เบน เบรเรตัน ดิอาซ กองหน้าทีมชาติชิลีของ แบล็คเบิร์น ก็ขึ้นมาสัมผัสการเป็นผู้นำบ้างสลับกันกับ เยอร์รี่ เยทส์ ของ แบล็คพูล
ล่าสุด วิคเตอร์ โยเคอเรส กองหน้าทีมชาติสวีเดนของ โคเวนทรี ซิตี้ พรวดขึ้นมาเป็นผู้นำที่ 12 ประตู และจากแฮตทริกของ ชูบา อัคปอม กองหน้า มิดเดิลสโบรช์ ในเกมบ็อกซิ่งเดย์ ก็กระโดดขึ้นมาเป็นผู้นำดาวซัลโวร่วม
หลังพลิกปฏิทินเป็นปี 2023 ศึกแชมเปี้ยนชิพ จะน่าจับตามองมากยิ่งขึ้น นอกจากการลุ้นเลื่อนชั้น ลุ้นดาวซัลโวแล้ว บรรดาสโมสรจากพรีเมียร์ลีกก็ลุ้นคว้านักเตะฝีเท้าดีไปร่วมทีมในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมด้วย
อย่างที่ มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีม ฟูแล่ม ที่พาทีมครองแชมป์และเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพซีซั่นก่อน ได้พูดเอาไว้ นักเตะช้างเผือก หรือนักเตะฝีเท้าดีที่ซ่อนอยู่มีหลายต่อหลายคนในแชมเปี้ยนชิพ รอให้ทีมจากพรีเมียร์ลีกเสาะหาและดึงตัวไปร่วมทัพ
ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครเสาะหาเจอหรือเปล่า เพราะเชื่อว่าระดับฝีเท้าพร้อมเล่นในพรีเมียร์ลีกได้แบบสบายๆ เหมือนอย่าง จาร์รอด โบเวน, โอลลี่ วัตกิ้นส์, อีวาน โทนี่ย์, เอเบเรชี่ เอเซ่ เป็นต้น
