การจะเป็นศูนย์หน้าชั้นนำ เป้าหมายแรกต้องมองถึงการเป็นดาวซัลโวประจำลีกเสียก่อน จากนั้นถึงขยับสู่ก้าวที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือดาวซัลโวของยุโรป
'ยูโรเปียน โกลเดน ชู' หรือ 'ยูโรเปียน โกลเดน บูท' แล้วแต่ใครจะอยากเรียกแบบไหน ถูกออกแบบมาให้เป็นรางวัลสำหรับดาวซัลโวที่ยิงประตูได้มากที่สุดในลีกยุโรปแต่ละฤดูกาล ซึ่งต้องคิดคะแนนตามค่าสัมประสิทธิ์ของลีกต่างๆ
นับตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97 เป็นต้นมา ทาง ยูโรเปียน สปอร์ตส์ มีเดีย มอบรางวัลนี้ตามการคิดคะแนนในแต่ละลีกที่แตกต่างกัน อย่างใน 5 ลีกใหญ่ คิดคะแนนโดยเอาจำนวนประตูไปคูณสอง ตามด้วยลีกอันดับ 6-21 คูณ 1.5 และลีกอันดับ 22 ลงไป ไม่ต้องคูณ
สาเหตุที่ต้องคิดคะแนนเช่นนี้เป็นไปตามความหนักเบาของแต่ละลีก เพราะก่อนหน้านั้นเคยมีการกล่าวอ้างจากสมาคมฟุตบอลไซปรัส ว่านักเตะในลีกยิงได้ถึง 40 ประตู น่าจะได้รับรางวัลนี้
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการคิดคำนวณในปี 1996 นักเตะคนแรกที่ได้รางวัลคือ โรนัลโด้ ดาวยิงบราซิลของ บาร์เซโลน่า และคนล่าสุดที่ได้รางวัลนี้ก็คือ ลีโอเนล เมสซี่ จอมทัพอาร์เจนไตน์ของ บาร์ซ่า เช่นกัน
ในฤดูกาลนี้ เหลือหนทางอีกเพียง 3 เดือนเศษๆ เท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเวลานี้มีนักเตะที่เป็นผู้นำร่วมกันถึง 4 คน จากตัวเลข 24 ประตู หรือ 48 คะแนน ซึ่งล้วนมาจาก 5 ลีกใหญ่ทั้งหมด
ลีโอเนล เมสซี่
เจ้าของรางวัลนี้เมื่อปีที่แล้ว ดูเหมือนจะไร้คู่แข่งแย่งดาวซัลโวในลาลีกา เพราะคู่แข่งเบอร์ 1 อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ฟอร์มตกลงไปเยอะในซีซั่นนี้ คนที่ตามมาก็คือ หลุยส์ ซัวเรซ คู่หูในทีม บาร์ซ่า นั่นเอง
ฟรีคิกที่ปั่นปลิดชีพ แอตเลติโก มาดริด 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ กลายเป็นประตูที่ 24 ในลาลีกาแล้ว นำดาวซัลโวลาลีกาเหนือ ซัวเรซ ถึง 4 ประตู และก้าวขึ้นเป็นผู้นำร่วม 48 คะแนนในชาร์ตดาวซัลโวยุโรป มีลุ้นคว้ารางวัล 'ยูโรเปียน โกลเดน ชู' มากที่สุดสมัยที่ 5 หลังจากตอนนี้กวาดไป 4 เท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
เอดินสัน คาวานี่
ดาวยิงอุรุกวัยส่องประตูมาแบบเรื่อยๆ ในศึกลีกเอิง จนถึงตอนนี้ยอดรวมอยู่ที่ 24 ประตู นำอันดับ 2 นั่นก็คือเพื่อนร่วมทีม เปแอสเช เนย์มาร์ อยู่ 5 ประตู แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการจับตามองและเสียงชื่นชมมากนัก เมื่อเทียบกับโอกาสในแต่ละเกมที่มีมากมายก่ายกอง รวมถึงลีกเอิงก็ดูจะอ่อนที่สุดใน 5 ลีกใหญ่
นั่นคือข้อได้เปรียบสำหรับ คาวานี่ สำหรับการลุ้นรางวัล 'ยูโรเปียน โกลเดน ชู' ซึ่งถ้าหากทำได้ ก็จะกลายเป็นนักเตะจากลีกเอิงคนแรกที่คว้ารางวัลนี้นับตั้งแต่ฤดูกาล 1970-71 และยังไม่เคยมีใครได้รางวัลนี้เลยนับตั้งแต่เปลี่ยนการคิดคะแนน
แฮร์รี่ เคน
มีดีกรีเป็นถึงดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลหลังสุด แต่เมื่อเทียบจำนวนประตูในลีกยุโรปยังห่างไกลจากการคว้ารางวัลนี้พอสมควร เพราะอย่างซีซั่น 2015-16 หลุยส์ ซัวเรซ เล่นกดไป 40 ประตู และ 2016-17 ลีโอเนล เมสซี่ กดไป 37 ประตู ขณะที่ เคน กดไป 25 และ 29 ประตูตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ซีซั่นนี้ยังเหลืออีกถึง 9 เกม เคน กระซวกไป 24 ประตูแล้ว มีโอกาสกดทะลุ 30 ประตูได้ไม่ยาก ขณะที่คู่แข่งในลาลีกาอย่าง เมสซี่ ก็ดร็อปจำนวนประตูลงไปเยอะ จึงทำให้ฤดูกาลนี้ ดาวยิงทีมชาติอังกฤษ มีโอกาสได้สัมผัส 'ยูโรเปียน โกลเดน ชู' เป็นครั้งแรก
โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ปีกทีมชาติอียิปต์ ก้าวขึ้นมาลุ้นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก และดาวซัลโวยุโรปอย่างเต็มตัว หลังจากซัลโวมาเรื่อยๆ ไม่มีแฮตทริกให้เห็น แต่เน้นความสม่ำเสมอ จนถึงตอนนี้ยิงไป 24 ประตูเท่า แฮร์รี่ เคน แล้วในพรีเมียร์ลีก
ด้วยบทบาทที่ไม่ใช่ศูนย์หน้าตัวเป้า ซาลาห์ จึงครบเครื่องทั้งคนยิงคนจ่าย เพราะแอสซิสต์ไปแล้ว 8 ประตู รวมเป็น 32 ประตู นำหน้าทุกคนในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ซีซั่นก่อนก็ยิง 15 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ให้ โรม่า ในกัลโช่ เซเรีย อา
ส่วนคนอื่นๆ ที่ตามมา ก็ตามกันไม่ห่างเลย
ชีโร่ อิมโมบิเล่ กองหน้า ลาซิโอ กดไป 23 ประตู (คูณ 2) 46 คะแนน
โชนาส กองหน้า เบนฟิก้า กดไป 30 ประตู (คูณ 1.5) 45 คะแนน
เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้า แมนฯ ซิตี้ กดไป 21 ประตู (คูณ 2) 42 คะแนน
หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้า บาร์เซโลน่า กดไป 20 ประตู (คูณ 2) 40 คะแนน
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้า บาเยิร์น กดไป 20 ประตู (คูณ 2) 40 คะแนน
เนย์มาร์ กองหน้า เปแอสเช กดไป 19 ประตู (คูณ 2) 38 คะแนน