ตลอดหนึ่งทศวรรษที่่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้ คือหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่เผชิญเหตุการณ์ต่างๆ มามากที่สุด ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย
ปี 2013 ช็อตพลาดจุดโทษในตำนานของ อ็องโตนี่ น็อกการ์ต ที่ถูก วัตฟอร์ด โต้กลับแล้วทำประตูพลิกเข้าชิงเพลย์ออฟเลื่อนชั้นในปีนั้น แม้ถูกลืมเลือนในความทรงจำไปบ้าง แต่ไม่เคยถูกลบคลิปวีดีโอทางโซเชียลมีเดีย
ปี 2014 การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกแบบนอนมา ในฐานะแชมป์แชมเปี้ยนชิพ แก้ตัวจากความล้มเหลวก่อนหน้านั้นหนึ่งปี
ปี 2015 จมบ๊วยพรีเมียร์ลีกแบบโงหัวไม่ขึ้นมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ลากยาวมาจนถึงเดือนมีนาคม แต่ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นในช่วง 9 เกมสุดท้ายของฤดูกาล เมื่อ ไนเจล เพียร์สัน พาทีมกวาดชัยชนะมากถึง 7 เกม รอดตกชั้นก่อนถึงเกมสุดท้าย แถมยังกระโดดขึ้นไปจบอันดับ 14 อย่างเหลือเชื่อ
ปี 2016 จากทีมหนีตกชั้น เคลาดิโอ รานิเอรี่ อาศัยโอกาสที่ 6 ทีมใหญ่นัดกันฟอร์มแผ่ว โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นซีซั่น กลางซีซั่น และท้ายซีซั่น ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ และเชื่อว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไปอีกหลายสิบปี
ปี 2017 ต้องแบ่งความสนใจไปที่การเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกของสโมสร และทำได้ดีด้วยการผ่าน เซบีย่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ไม่ผ่าน แอตเลติโก มาดริด ในด่านต่อไป
ปี 2018 เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสร เมื่อเฮลิค็อปเตอร์ของประธาน วิชัย ศรีวัฒนประภา ประสบอุบัติเหตุขณะบินขึ้นจากสนามคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม และตกลงบริเวณด้านนอกสนาม เป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้ง 4 คนทั้งผู้โดยสารและนักบิน
ปี 2019 ซื้อ ยูริ ตีเลมันส์ ค่าตัวเป็นสถิติแพงสุดของสโมสรจนถึงปัจจุบัน 40 ล้านปอนด์จาก โมนาโก และให้หลังไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ขาย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ค่าตัวเป็นสถิติแพงสุดของสโมสรจนถึงปัจจุบันเช่นกัน 80 ล้านปอนด์ไปให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ปี 2020 เกมสุดท้ายของฤดูกาลในรัง คิง พาวเวอร์ เลสเตอร์ (62 คะแนน) ต้องเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (63 คะแนน) เพื่อแซงจบอันดับ 4 คว้าตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ทุกอย่างไม่เป็นใจ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ 0-2 ทั้งที่ซีซั่นนั้นมีโอกาสดีมากๆ แต่กลับสะดุดแพ้ 3 จาก 4 เกมสุดท้าย
ปี 2021 เจอภาพซ้ำจากซีซั่นก่อน แพ้ 3 จาก 4 เกมสุดท้ายอีกแล้ว จากที่นำมาดีๆ กลายเป็นหลุดไปจบอันดับ 5 แพ้ เชลซี แต้มเดียว พลาดตั๋วชปล. ซ้ำสอง แต่ก่อนจบซีซั่นหนึ่งสัปดาห์ ได้ฉลองแชมป์เอฟเอคัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรไปแล้ว จากการชนะ สิงโตน้ำเงินคราม ในรอบชิงฯ
ปี 2022 เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ที่จัดขึ้นปีแรก แต่ไปแพ้ โรม่า แบบฉิวเฉียด สกอร์รวม 1-2 อดเข้าชิงฯ และ หมาป่ากรุงโรม ไปถึงแชมป์
นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสิบปีของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีครบทุกรสชาติ ซึ่งบางรสชาติแฟนบอล จิ้งจอกสีน้ำเงิน ก็ไม่ต้องการลิ้มรส
ในฐานะผู้จัดการทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เข้ามาคุมทีมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ยอมรับถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสโมสร งบประมาณการสร้างทีมที่ลดลง การเสริมทัพที่ไม่สมหวัง และการขายตัวหลักที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด
ตั้งแต่ยุคแชมป์พรีเมียร์ลีก เอ็นโกโล่ ก็องเต้, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์, ริยาด มาห์เรซ ทะยอยย้ายออกจากทีม และในช่วงเวลาของ ร็อดเจอร์ส ก็คือการขาย แฮร์รี่ แม็กไกวร์, เบน ชิลเวลล์ เป็นต้น
ร็อดเจอร์ส ยอมรับถึงวัฏจักรของสโมสรฟุตบอลอย่าง เลสเตอร์ การปลุกปั้นนักเตะ การขายดาวดัง และการเสริมทัพเข้ามาใหม่ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเขาต้องเผชิญมาตลอดอาชีพโค้ช
จบฤดูกาลนี้ เลสเตอร์ เตรียมรับมือกับการสูญเสีย ตีเลมันส์ ที่หมดสัญญา และอาจรวมถึงการย้ายทีมของ เจมส์ แมดดิสัน ที่ตกเป็นข่าวกับหลายทีมใหญ่มานานแล้ว
เป้าหมายของสโมสรคงต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจาก 6 ทีมใหญ่ของพรีเมียร์ลีกแล้ว ตอนนี้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ยังยกระดับทีมขึ้นมาได้สูงมาก ทำให้พื้นที่ยุโรปสำหรับ เลสเตอร์ แทบมองไม่เห็น
เลสเตอร์ อาจต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปีเพื่อสร้างทีมชุดใหม่กลับมาต่อสู้แย่งชิงพื้นที่หัวตารางอีกครั้ง แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ฤดูกาลนี้ ร็อดเจอร์ส ต้องประคับประคองทีมให้รอดตกชั้นให้ได้เสียก่อน