ภายหลังจบเกมมันเดย์ไนท์ที่ สโต๊ค สามคะแนนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นการสร้างโอกาสที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ในเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้'
ฤดูกาลนี้ไม่มีใครสามารถพรากแชมป์พรีเมียร์ลีกไปจากทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้แล้ว เพราะนำโด่งสบายๆ มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือ จะคว้าแชมป์เมื่อไหร่? จะคว้าแชมป์เกมไหน? และจะทำลายสถิติต่างๆ ได้หรือเปล่า?
สื่อและนักข่าวสำนักต่างๆ พยายามหยิบยกประเด็นนี้มาเล่นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว และมีการคำนวณคร่าวๆ ว่ามีโอกาสที่ เรือใบสีฟ้า จะได้เฉลิมฉลองแชมป์ในเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' วันที่ 7 เมษายน
ถามว่าทำไมต้องเป็นเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้'
สำหรับแฟนบอลคงเป็นเรื่องความสะใจสองเท่า เพราะเรื่องแชมป์มันแน่นอนอยู่แล้ว จึงต้องการความท้าทายใหม่ๆ เป็นการฉีกหน้าทีมคู่ปรับร่วมเมือง และแสดงให้เห็นว่า แมนเชสเตอร์ เวลานี้ สีฟ้า กำลังจะกลืนกิน สีแดง จนหมดสิ้นแล้ว
สำหรับผู้จัดการทีมและนักเตะก็เช่นกัน เพราะมีกรณีเดือดเกิดขึ้นในห้องแต่งตัวหลังเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาแล้ว คงไม่ต้องย้อนความอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เอาเป็นว่า สีฟ้า กับ สีแดง ก็แสบพอๆ กัน
และครั้งนี้ หาก ซิตี้ ทำได้ตามเป้า เป๊ป และลูกทีมก็จะได้เฉลิมฉลองกันตั้งแต่สนาม ยันห้องแต่งตัว และ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็คงไม่สามารถแสดงออกเหมือนอย่างที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ เพราะนี่คือ เอติฮัด สเตเดี้ยม
ประเด็นต่างๆ ถูกสื่อหยิบยกเอาไว้รอเป็นเดือนๆ แล้ว เพียงแต่จะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า ซึ่ง เรือใบสีฟ้า ก็มาตามนัด เพราะชัยชนะที่บ้าน สโต๊ค ทำให้รักษาโอกาสคว้าแชมป์ในเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้'
ทีนี้มาดูเงื่อนไขว่า โอกาสที่ เป๊ป จะได้ฉลองฉีกหน้า มูรินโญ่ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกันบ้าง
เวลานี้ ซิตี้ และ ยูไนเต็ด เตะไปแล้ว 30 นัดเท่ากัน เหลืออีก 8 เกมก็จะจบซีซั่น เรือใบ มีแต้มนำ ผีแดง อยู่ 16 คะแนน
เกมถัดไป ซิตี้ บุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม ทีมของ เป๊ป ต้องรักษาช่องห่างให้อยู่ที่ 16 คะแนนเท่าเดิมให้ได้ ขณะที่ ยูไนเต็ด เล่นในบ้านรับมือ สวอนซี ในวันเดียวกัน
หาก ซิตี้ ถึงขั้นแพ้ ก็ต้องแช่งให้ ยูไนเต็ด แพ้ด้วย (ขึ้นอยู่กับผลของ สเปอร์ส กับ ลิเวอร์พูล ด้วย) หรือหาก ยูไนเต็ด เสมอ จะลดช่องลงเหลือ 15 แต้ม ก็ยังมีโอกาสฉลองแชมป์อยู่ เพราะประตูได้เสียที่เหนือกว่าบานเบอะ เพียงแต่จะเป็นแบบไม่เป็นทางการ
เอาไปว่า หาก ซิตี้ รักษาช่องห่างเท่าเดิมหลังจบเกมวันที่ 31 มีนาคม พวกเขาก็มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' หากเอาชนะ ยูไนเต็ด ที่ เอติฮัด วันที่ 7 เมษายน
ในมุมของ ยูไนเต็ด พวกเขาต่อสู้เพื่อจบอันดับ 2 ให้ได้ในฤดูกาลนี้ พร้อมยอมรับการเป็นแชมป์ของ ซิตี้ เพียงแต่อย่ามาฉลองต่อหน้าในเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' แค่นั้นพอ
เรื่องราวแบบนี้ถือเป็นการเรื่องเจ็บปวดเสมอสำหรับสองทีมที่ลุ้นแย่งแชมป์กันโดยตรง เพราะในอดีต ยูไนเต็ด เคยโดน อาร์เซน่อล บุกมาทุบคา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อปี 2002 มาแล้ว ซึ่งสามแต้มเกมนั้นเป็นการการันตีแชมป์ของ ปืนใหญ่ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ ซิตี้ เป๊ป อาจไม่มีความจำเป็นต้องทำตามกระแสเรียกร้อง เพราะหลังจบเกมที่ กูดิสัน พาร์ค วันที่ 31 มีนาคม พวกเขามีโปรแกรมหนักในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก รออยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ (3 หรือ 4 เมษายน ซึ่งยังไม่ทราบคู่แข่ง)
จากนั้นถึงเป็นเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' วันที่ 7 เมษายน ต่อด้วย เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดสอง (10 หรือ 11 เมษายน) และตามด้วยเกมเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ เวมบลีย์ วันที่ 14 เมษายน
ในความเป็นจริง มีโอกาสที่ เป๊ป จะพักตัวหลักหรือโรเตชั่นทีมบางตำแหน่งในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน, ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส เพราะต้องเน้นเต็มที่ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทั้งสองนัด
ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกค่อยๆ ไปแบบเรื่อยๆ ก็ได้ เพราะหลังจากนั้นจะเป็นเกมเบากับ สวอนซี, เวสต์แฮม และ ฮัดเดอร์สฟิลด์
งานนี้จึงขึ้นอยู่กับ เป๊ป คนเดียวเลยว่าจะยังคงจัดชุดใหญ่ใส่เต็มๆ ควบคู่กันไปทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือเปล่า หากยังต้องการคว้าสามแชมป์ในฤดูกาลนี้