การเริ่มต้นทำงานใดก็ตาม หากคุณพบเจอขวากหนามตั้งแต่แรก และฝ่าฟันมาได้ นั่นจะทำให้คุณเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
ฤดูกาล 2022-23 เป็นหนึ่งในปีทองของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ที่เริ่มต้นได้ดีกับชีวิตการทำงานใหม่ในอังกฤษ การพา เบิร์นลี่ย์ เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกเป็นทีมแรกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน
และตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแบบ 'นอนสต็อป' หลังจาก เดอะ คลาเรตส์ ยืนยันการครองแชมป์แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2022-23 อย่างเป็นทางการแล้ว
อย่างที่เกริ่นเอาไว้ การเริ่มต้นงานโค้ชของ ก็องปานี เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย หลังจากแขวนสตั๊ดอย่างยิ่งใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นการจบอาชีพนักฟุตบอลบนจุดสูงสุด และกลายเป็นตำนานของ เรือใบสีฟ้า
แต่สำหรับงานโค้ช บางทีอาจจะมองว่ามาถึงเร็วเกินไปก็ได้ กับข้อเสนอผู้เล่น-ผู้จัดการทีมในฤดูกาล 2019-20 จากสโมสรวัยเด็ก และสโมสรแรกในอาชีพค้าแข้ง อันเดอร์เลชท์
ความพ่ายแพ้ 2 เกม และผลเสมอแบบไม่มีประตูอีก 2 เกม ยิงได้ 3 ประตู เสียไปถึง 6 ประตู นี่คือการเริ่มต้นที่ ก็องปานี คงไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ และเป็นการเปิดซีซั่นที่ห่วยแตกที่สุดของ อันเดอร์เลชท์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 1998-99
ก็องปานี ได้สัมผัสกับตัวเองว่าการควบบทบาทผู้เล่น-ผู้จัดการทีมไม่ใช่งานง่าย โดยเฉพาะกับสโมสรใหญ่ของประเทศอย่าง อันเดอร์เลชท์ ที่มีความคาดหวังในแต่ละฤดูกาลค่อนข้างสูง
การทำงานร่วมกับ ไซม่อน เดวี่ส์ ที่้ต้องสั่งการข้างสนาม ดูจะเป็นการทำงานที่ไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ และเมื่อผลการแข่งขันไม่เป็นใจ ก็องปานี จึงตัดสินใจถอนตัวจากบทบาทผู้จัดการทีม และลงสนามเพียงอย่างเดียว
ซีซั่นแรกที่เป็นการลองผิดลองถูกของ อันเดอร์เลชท์ จบลงอย่างน่าผิดหวัง ภายใต้การคุมทีมของ ก็องปานี, เดวี่ส์ และ แฟร้งกี้ แฟร์เคาเทอเรน (ที่คุมตั้งแต่ 3 ตุลาคม) จบฤดูกาลเพียงอันดับ 8 ในลีก
ก็องปานี ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในเดือนสิงหาคมปี 2020 และวันเดียวกันนั้น อันเดอร์เลชท์ ก็ประกาศการเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้งของอดีตปราการหลังทีมชาติเบลเยียม ที่ครั้งนี้จะรับบทคุมทีมอย่างเต็มตัวในระยะเวลา 4 ปี
ผลงานของ อันเดอร์เลชท์ ค่อยๆ ดีขึ้น จากอันดับ 4 ฤดูกาล 2020-21 และอันดับ 3 ฤดูกาล 2021-22
ดีขึ้นจริง แต่ยังไม่ดีถึงจุดที่ อันเดอร์เลชท์ สมควรยืนอยู่
และเมื่อมีข้อเสนอจาก เบิร์นลี่ย์ ยื่นเข้ามาในเดือนมิถุนายนปี 2022 ก็องปานี จึงไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน ในการกลับไปทำงานในลีกฟุตบอลของอังกฤษอีกครั้ง
เบิร์นลี่ย์ เพิ่งตกชั้นลงมาจากพรีเมียร์ลีกในปีนั้น สโมสรต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องนักเตะในทีม โค้ช และทีมสต๊าฟฟ์ เพื่อลบภาพของ ชอน ไดช์ ที่คุมทีมมากว่าหนึ่งทศวรรษออกไปให้ได้
การขายดาวดังออกจากทีม และการเสริมทัพตามแนวทางของ ก็องปานี เป็นแผนการที่สโมสรยอมดำเนินการให้ แม้มีความเสี่ยงไม่น้อยก็ตาม
การเริ่มต้นฤดูกาล 5 เกมแรก ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง 3 เกมในรัง เทิร์ฟ มัวร์ เดอะ คลาเรตส์ ไม่พบชัยชนะเลย ทำได้เพียงเสมอ ลูตัน 1-1, เสมอ ฮัลล์ 1-1 และเสมอ แบล็คพูล 3-3 บวกกับเกมเยือนที่แพ้ วัตฟอร์ด 0-1
ถึงตอนนี้เริ่มมีความเคลือบแคลงสงสัยจากแฟนบอลแล้ว ถึงการตัดสินใจเลือก ก็องปานี ที่ยังสอบไม่ผ่านในฐานะโค้ชที่ อันเดอร์เลชท์
แต่ผลการแข่งขันช่วงแรกถือเป็นบททดสอบที่ดี เพราะหลังจากนั้น เบิร์นลี่ย์ กวาดคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่แพ้เกมลีกติดต่อกันยาวนานถึง 22 เกม ในช่วงเวลานั้นมีการชนะ 10 เกมรวดด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ เบิร์นลี่ย์ จะยืนยันการเลื่อนชั้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่เกมที่ 39 และคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพในเกมที่ 44
จุดเด่นของทีมอยู่ที่บรรดากองกลางตัวรุกหรือปีกที่ล้วนเป็นหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เนธาน เตลล่า, อานาส ซารูรี่, มานูเอล เบนสัน บวกกับหน้าเดิม โยฮัน เบิร์ก กุ๊ดมุนด์สสัน และศูนย์หน้าตัวเป้าทั้ง แอชลี่ย์ บาร์นส์ และ เจย์ โรดริเกซ ทำให้ เบิร์นลี่ย์ มีแนวรุกที่น่าจับตามองอย่างมาก
ก็องปานี จะต้องเตรียมความพร้อมของทีมให้แกร่งขึ้นอีก กับการเผชิญศึกพรีเมียร์ลีกที่รออยู่ในฤดูกาลหน้า
ซีซั่นนี้ เดอะ คลาเรตส์ ได้เจอบททดสอบที่ดีไปบ้างแล้ว กับเกมคาราบาวคัพ รอบ 4 ที่บุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 0-2 แบบสู้ได้ดีมาก และเกมเอฟเอคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่บุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม 0-6
แต่กว่าจะถึงซีซั่นหน้า ก็องปานี ยังมีเวลาอีกนานให้ได้เฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกับลูกทีม เบิร์นลี่ย์