การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2022-23 ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลายคนคงมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เพราะคุ้นชินกับความสำเร็จตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2016 โค้ชจอมแท็กติกชาวสเปนได้ลิ้มรสของความยากลำบากในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ปีแรกที่มาถึง
การเริ่มต้นด้วยชัยชนะ 6 เกมรวดในพรีเมียร์ลีก ในจำนวนนั้นคือการบุกชนะเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่หลังจากนั้นขาดความสม่ำเสมอ เลยจบแค่อันดับ 3
เอฟเอ คัพ ที่มาหยุดที่รอบรองชนะเลิศ แพ้ต่อ อาร์เซน่อล ในช่วงต่อเวลา และใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จอดป้ายแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อเจอทีเด็ดของ คีลียัน เอ็มบัปเป้ กับ ราดาเมล ฟัลเกา ในชุด โมนาโก
เป๊ป คงไม่มีทางลืมฤดูกาล 2016-17 เป็นแน่ ซีซั่นที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกจับทดลองแท็กติกต่างๆ จนนักเตะมึนตึ้บกันไปหมด
แต่นั่นกลับเป็นแรงกระตุ้นให้ เป๊ป เอาจริงเอาจังมากขึ้นในฤดูกาลที่สองของตัวเองที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017-18 เป็นต้นมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปถึง 5 จาก 6 ฤดูกาล มีเพียงซีซั่น 2019-20 ที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์แบบไร้คู่ต่อกร
การคว้าแชมป์ 5 จาก 6 ปีหลังสุดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงทำให้ เรือใบสีฟ้า กลายเป็นสโมสรที่สามที่ทำได้ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษ
ต่อจาก ลิเวอร์พูล ที่ทำเอาไว้ฤดูกาล 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84
และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำเอาไว้ในยุคพรีเมียร์ลีกแล้ว ฤดูกาล 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-00, 2000-01
นอกจากนี้ การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลหลังสุด ยังทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสโมสรที่ 5 ที่สามารถทำได้ในลีกสูงสุดอังกฤษ ต่อจาก ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (สองครั้ง)
ความสำเร็จลากยาวของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงต้องยกความดีความชอบให้กับ เป๊ป อย่างสมควรที่สุด
มีการบันทึกตัวเลขเอาไว้ นับตั้งแต่ที่ เป๊ป เริ่มคุมทีมปีแรกกับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาล 2008-09 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เขากวาดแชมป์ลีกสูงสุดไปแล้วมากถึง 11 สมัย ร่วมกับ บาร์ซ่า, บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
นับเฉพาะบรรดาโค้ชใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (พรีเมียร์ลีก, เซเรียอา, ลาลีกา, บุนเดสลีกา, ลีกเอิง) เป๊ป ทิ้งห่างคู่แข่งคนอื่นๆ เพราะที่ตามมาคือ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี 6 สมัย, อันโตนิโอ คอนเต้ 5 สมัย, คาร์โล อันเชล็อตติ, โลร็องต์ บล็องก์, โชเซ่ มูรินโญ่ 4 สมัยเท่ากัน
และการได้สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีก นับหนึ่งความสำเร็จของฤดูกาล 2022-23 ยังทำให้ เป๊ป สะสมโทรฟี่รายการสำคัญของฟุตบอลอังกฤษแตะหลัก 10 เป็นที่เรียบร้อย
กลายเป็นโค้ชคนที่ 5 ที่คว้าแชมป์รายการสำคัญในการคุมสโมสรอังกฤษ 10 โทรฟี่ขึ้นไป ร่วมกับ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, บ็อบ เพสลี่ย์, จอร์จ แรมซี่ย์ และ อาร์แซน เวนเกอร์
และที่น่าทึ่งสำหรับ เป๊ป คือเขาทำได้ใน 7 ฤดูกาลเท่านั้น (พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย ที่อาจเพิ่มตัวเลขอีกในซีซั่นนี้)
ผลงานสุดโหดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มักเกิดขึ้นในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง จากที่ตามหลัง ไล่มาจนทัน และแซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ ซึ่ง อาร์เซน่อล ไม่ใช่ทีมแรกที่เจอ
นับตั้งแต่ผลเสมอในบ้าน น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีสะดุดเลย กวาดชัยชนะในพรีเมียร์ลีก 12 เกมติดต่อกันแล้ว
จากการจดบันทึกของฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษ มี 15 ครั้งที่มีทีมใดทีมหนึ่งคว้าชัยชนะเกมลีก 12 เกมติดต่อกันขึ้นไป และในจำนวนนั้น 5 ครั้งเป็นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของ เป๊ป
เกิดขึ้นในฤดูกาล 2017-18, 2018-19, 2020-21, 2021-22 และ 2022-23 หรือทุกซีซั่นที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
และชัยชนะในเกมล่าสุดที่เปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เชือด เชลซี 1-0 ยังทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงประตูในบ้านครบ 100 ประตูรวมทุกรายการอีกด้วย
ทิ้งขาดในบรรดาสโมสร 5 ลีกใหญ่ยุโรปที่ทำได้ในฤดูกาลนี้ อันดับสองคือ บาเยิร์น 66 ประตู, อันดับสาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 65 ประตู, อันดับสี่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 58 ประตู และอันดับห้า เรอัล มาดริด 57 ประตู
นี่คือความยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทานของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่กำลังมองหาแชมป์ที่สอง เอฟเอ คัพ และแชมป์ที่สาม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่กำลังรอเล่นรอบชิงฯ ในฤดูกาลนี้
หากทำได้จะเทียบความยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยทำเอาไว้ในฤดูกาล 1998-99
แต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือเปล่า ต้องถามคู่แข่งร่วมเมืองในนัดชิง เอฟเอ คัพ