เมื่อความสำเร็จถูกวัดด้วยคำว่า 'แชมป์' และ 'แชมป์' มีเพียงแค่หนึ่งเดียว ทำให้ในทุกๆ ฤดูกาล เราได้เห็นหลายทีมต้องพบกับความล้มเหลวจากการจบซีซั่นมือเปล่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ฉลองความสำเร็จจากการคว้าดับเบิ้ลแชมป์พรีเมียร์ลีก และ คาราบาวคัพ
ลิเวอร์พูล ยังมีลุ้นยาวๆ ในถ้วยยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อาร์เซน่อล ก็มีลุ้นถ้วยเล็ก ยูโรปา ลีก เพื่อเป้าหมายใหญ่คือตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า
จึงเหลือเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ เชลซี ที่ต้องมาลุ้นถ้วย เอฟเอ คัพ ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้ชูถ้วยแชมป์ก่อนปิดซีซั่นอย่างเป็นทางการ
เส้นทางในรอบรองชนะเลิศ เชลซี ถูกมองว่าใสปิ๊งสุดๆ กับการจับสลากมาเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่ใช่ว่า เดอะ เซนต์ส เป็นทีมที่อ่อนปวกเปียก แต่เป็นเพราะ มาร์ค ฮิวจ์ส จำเป็นต้องเลือกทีมที่ดีที่สุดลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก เพื่อหนีตกชั้นให้ได้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ร่อแร่ๆ อยู่ในอันดับ 18
คู่เอกจึงอยู่ที่การพบกันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่หากใครพลาดท่าเสียที ก็จะจบซีซั่นนี้แบบมือเปล่าอย่างเป็นทางการทันที
หากเทียบดูความสำเร็จในถ้วยใบนี้ของทั้งสามทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไป 12 สมัย (เป็นรอง อาร์เซน่อล 13 สมัย ทีมเดียว) จากการเข้าชิงทั้งหมด 19 ครั้ง และแชมป์หนสุดท้ายเพิ่งเกิดขึ้นในฤดูกาล 2015-16 ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายของ หลุยส์ ฟาน กัล ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะเดินเข้ามา
ตามด้วย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่มีสถิติยอดเยี่ยมมากในรอบชิงชนะเลิศ เพราะคว้าแชมป์มาได้ 8 สมัยจากการเข้าชิง 9 ครั้ง พลาดท่าเพียงแค่ครั้งเดียวในปี 1987 อย่างไรก็ตาม ไก่เดือยทอง ไม่เคยสัมผัสถ้วยใบนี้มานาน 27 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ชนะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 2-1 ในช่วงต่อเวลา ยุคของ พอล แกสคอยน์ กับ แกรี่ ลินิเกอร์ เมื่อปี 1991
ขณะที่ เชลซี ตามมาติดๆ สัมผัสแชมป์ไป 7 สมัย จากการเข้าชิงทั้งหมด 12 ครั้ง หนสุดท้ายที่ได้ชูถ้วยแชมป์คือซีซั่น 2011-12 ซึ่งปีนี้คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ร่วมกับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยในยุคของกุนซือ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ และล่าสุดเพิ่งพลาดท่าแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ ต่อ อาร์เซน่อล ซีซั่นก่อน
ถ้าเอาปัจจัยในพรีเมียร์ลีกเข้ามาเป็นตัวตัดสินด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือว่าลอยตัวไปแล้วกับการคว้าตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เองก็เช่นกัน สถานการณ์ตอนนี้มองว่าพลิกล็อกยาก กับการนำ 8 คะแนน แม้เตะมากกว่า 1 นัดก็ตาม
เก้าอี้ของสองกุนซือทั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จึงยังไม่เคยตกอยู่บนความเสี่ยงเลย โดยเฉพาะรายหลังที่ถูกกดดันเรื่องแชมป์ แต่ภาพรวมกราฟผลงานของ ไก่เดือยทอง มีแต่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องอนาคตของ 'พอช' ซึ่งไม่เป็นปัญหา
นั่นทำให้ เชลซี กดดันที่สุด เพราะมีโอกาสไม่ได้ไปวาดลวดลายในเวทีใหญ่ของยุโรปฤดูกาลหน้าสูงมาก สูงพอๆ กับเก้าอี้ของกุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ถูกมองว่าจะเก็บข้าวของย้ายออกจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ค่อนข้างแน่
ประเด็น คอนเต้ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว ว่าทำไม เชลซี ถึงไม่ยอมปลดตั้งแต่ช่วงที่ฟอร์มหลุดต่อเนื่อง จนตามห่างพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบนี้ ซึ่งดูแล้วอาจเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่ว่าเวลานี้ กุนซือชาวอิตาเลียน กำลังเนื้อหอมแค่ไหน หนึ่งในทีมที่ต้องการได้ตัวไปคุมทัพ นั่นก็คือ ทีมชาติอิตาลี
หาก โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซีย ตัดสินใจไล่ออก นั่นก็หมายความว่า สโมสรจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ คอนเต้ และ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ก็จะดึงไปเสียบเก้าอี้ จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า ได้ในทันที
แต่หาก คอนเต้ ยังคงนั่งเก้าอี้อันร้อนระอุนี้ต่อไป ใครอยากได้ก็ต้องยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา ถือเป็นสถานการณ์ที่ไป-กลับสำหรับทีมดังกรุงลอนดอนที่ต้องยอมเสี่ยงในเวลานี้
หากบทสรุปแชมป์ เอฟเอคัพ ในปีนี้ตกเป็นของ เชลซี ก็อาจได้เห็น คอนเต้ พาทีมคว้าแชมป์สุดท้ายในเกมสุดท้ายของตนเอง เหมือนอย่างที่ ฟาน กัล เคยเผชิญมาแล้วเมื่อสองปีก่อน