สิ่งที่ได้จากมอสโก

ถามว่าเกินคาดมั้ย แน่นอนส่วนตัวผมมองว่าเป็นสกอร์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น

สิ่งที่ทำให้ตัวผมเองเชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเจองานยากลำบากในการออกไปที่ รัสเซีย หนนี้คือสภาพทีมที่ขาดนักเตะกำลังหลักไปหลายคน

อย่างที่ทราบกันว่าก่อนเกมนั้นปิศาจแดงขาดแกนหลักไปเยอะโดยเฉพาะแดนกลางที่เหลือให้ใช้งานจริงๆเพียง 2 คน คือ เนมานย่า มาติช และ อันเดร์ เอร์เรร่า 

ปอล ป็อกบา, มารูยาน เฟลไลนี่ และ ไมเคิ่ล คาร์ริค คือสามรายที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานและไม่สามารถช่วยทีมได้

นอกจากนี้แนวรับที่ไม่มีทั้ง ฟิล โจนส์ และ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ก็น่าเป็นห่วง แม้ว่าแผงหลังจะมีตัวทดแทนได้เยอะแต่ด้วยฟอร์มและผลงานของทั้งสองคน ทำให้เกิดคำถามในหัวขึ้นว่าคนที่จะมาทดแทนนั้นจะสามารถถมช่องว่างได้ดีแค่ไหน

ทว่าสิ่งที่สงสัยก่อนเกมถูกไขกระจ่างหลังจากจบ 90 นาทีที่ มอสโก ... 

โชเซ่ มูรินโญ่ จัดการปรับระบบการเล่นอีกครั้ง หนนี้เขาเดิมพันด้วยการเล่นในระบบ 3-5-2 (หรือ 3-4-2-1 ในบางจังหวะ) แนวรับยัดลงหมดเท่าที่มี เอริค ไบยี่, คริส สมอลลิ่ง และ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ

(ว่าถึงกรีณีลินเดอเลิฟนี่คาดว่าถูกสับขาหลอกทั้งหมด กับบทสัมภาษณ์ก่อนเกมที่ระบุว่านักเตะต้องรอโอกาส แต่ที่ไหนได้พอประกาศ 11 ตัวจริง กองหลังสวีดิชเป็นตัวจริงซะอย่างนั้น)

วิงแบ็กปรับมาใช้งาน แอชลี่ย์ ยัง ที่ช่วงหลังได้รับคำชมอย่างมากในทางขวา ส่วนทางซ้าย ดาเล่ย์ บลินด์ รับหน้าที่

นั่นคือโฉมหน้าในแนวรับส่วนแดนกลางแน่นอน เอร์เรร่า ได้โอกาสสตาร์ตตัวจริงร่วมกับ มาติช แนวรุกเปลี่ยนเอา อองโตนี่ มาร์กซิยาล ลงเล่นเป็นตัวจริงแทน มาร์ตัส แรชฟอร์ด

ดูจากการจัดทัพแน่นอนว่า โชเซ่ มูรินโญ่ เน้นรัดกุมโดยจะคอยอาศัยจังหวะสวนกลับเล่นงาน แต่จากการที่ได้ประตูนำอย่างรวดเร็วทำให้ปิศาจแดงเล่นง่ายขึ้น

สองประตูในช่วงไม่ถึง 20 นาที ทำให้เกมเปลี่ยนไป นักเตะยูไนเต็ดเล่นได้อย่างมั่นใจ ต่างจาก ซีเอสเคเอ ที่ต้องเร่งเกมและหลายจังหวะที่พลาดกันไปเอง

โอกาสงามๆของเจ้าถิ่นที่สมควรจะได้ก็ยังมาโดน ดาบิด เด เคอา จัดการปัดป้อง นั่นคือความแตกต่างชัดเจนที่ทำให้ความห่างและความมั่นใจของทั้งสองทีมต่างกัน

ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่สามารถเอาชนะออกมาได้แบบง่ายๆ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงประสิทภาพเชิงลึกในทีมที่นักเตะสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้ดี

สิ่งนี้คือสิ่งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการมาโดยตลอดนับตั้งแต่เข้ามารับงานในรั้วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาต้องการทีมที่มีนักเตะที่สามารถทดแทนการขาดหายไป ไม่ว่าจะด้วยปัญหาบาดเจ็บ ติดโทษแบน หรือธุระทางบ้าน ผู้เล่นทุกคนต้องพร้อมเสมอยามที่ทีมต้องการ

มันเป็นเรื่องของทัศนคติที่มูรินโญ่พยายามใส่ไปให้นักเตะ ทุกคนต้องมุ่งมั่นแสดงความตั้งใจออกมาทั้งในสนามซ้อมและยามที่ได้โอกาสลงสนาม ทุกคนต้องแสดงความกระตือรือร้นว่าต้องการเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีความพร้อมเสมอ

หากใครติดตามบทสัมภาษณ์ของกุนซือโปรตุกีสในช่วงที่ผ่านมา เขาจะเน้นย้ำเสมอว่า อยากให้นักเตะทุกคนเตรียมความพร้อม แม้ว่าจะยังไม่มีโอกาสได้ลงสนาม แต่ทุกคนต้องมีความพร้อมทั้งสภาพจิตใจ ร่างกาย และทัศนคติที่อยากช่วยทีม

ถามว่ามันสำคัญเช่นไร จุดนี้สำคัญมากเพราะหากใครคนใดคนหนึ่งเฉื่อยชา หรือเพิกเฉย 'ยังไงกูก็ไม่ได้ลงสนาม จะซ้อมเต็มที่ไปทำไม' นั่นมันจะส่งผลเป็นทอดๆ

หนึ่ง ทัศนคติล่ะที่เสีย สองเรื่องของการซ้อมที่จะไม่สามารถลงรายละเอียดได้ทุกจุด สามไหนจะเวลาได้โอกาสลงสนาม โชเซ่ จะมั่นใจได้เช่นไรว่านักเตะคนนั้นจะเต็มที่กับทีม

จุดแก้ไขส่วนนี้ของมูรินโญ่ก็คือการเน้นย้ำ การพร่ำบอกไปยังนักเตะ และบางครั้งมีการเชือดไก่ให่ลิงดูว่าหากคุณไม่เต็มที่และทัศนคติยังไม่ตรงกับที่ต้องการ โอกาสที่จะลงสนามก็แทบจะหมดลง

แต่มูรินโญ่ก็เป็นคนเปิดใจและให้โอกาส ไม่ได้ตัดชื่อหรือมองข้ามไปเสียดื้อๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักเตะต้องเอามาแลกคือความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง

สิ่งต่างๆเริ่มถูกบ่มเพาะ เติบโตในหัวของนักเตะ ทุกการซ้อมเราจะเห็นรอยยิ้ม ไล่มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนที่ทีมสามารถคว้าแชมป์ได้สองรายการ สิ่งนั้นมันค่อยๆต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือเกมที่ผ่าน แม้จะขาดแกนหลักไปหลายรายแต่บรรดาตัวสำรองที่ได้โอกาสลงสนามกลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม

แม้จะมีบางคนกระแนะกระแหน แค่ ซีเอสเคเอ มอสโก ยังวัดอะไรไม่ได้ แต่อย่าลืมนี่คือเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทุกทีมเอาจริง และกับชัยชนะ 4-1 ในเกมล่าสุดก็พอจะยืนยืนอะไรต่อมิอะไรได้

เอร์เรร่า ลงมาทดแทนการขาดหายไปของ ป็อกบา และ เฟลไลนี่ ได้อย่างยอด พร้อมกับทำสถิติจ่ายไปทั้งสิ้น 102 ครั้งพลาดเพียง 7 หน นอกจากนี้ยังมีสถิติการปะทะและตัดบอลรวมกันถึง 11 ครั้ง

นี่คือความแตกต่างที่เกิดขึ้นชัดเจน

ไหนจะอองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่พอได้โอกาสลงสนามก็ทำได้ดีและคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอ แมตช์ ของทางสโมสร รวมไปถึง สกาย สปอร์ตส์ ที่ชมนักเตะเป็นอย่างมาก

นี่คือมาร์กซิยาลคนเดิมกับเมื่อตอนซีซั่นก่อนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาลงสนาม แต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มมาประดับใบหน้าให้เห็น

นัดล่าสุดต้องยกนิ้วและชมดาวเตะเฟร้นช์แมนอย่างหนัก เพราะฟอร์มที่ออกมาแจ่มจริง ไหนจะจังหวะกระชากเปิด และ แอสซิสต์ ต่างทำได้ดีและเข้าขากับลูกากูได้อย่างเหมาะเจาะ

หัวหอกเบลเยียมเองก็ยังคงโชว์ผลงานและพิสูจน์ตบหน้านักวิจารณ์ที่ระบุว่าค่าตัวแพงเกินไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ ด้วยผลงานอันเอกอุ

สถิติล่าสุดของจารย์กู้คือเป็นนักเตะคนที่สองที่สามารถทำประตูในเกม ยูซีแอล สองเกมแรกที่ลงสนามติดต่อกันได้ต่อจาก ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ รวมไปถึงนี่คือประตูที่ 10 จากการลงสนามให้ปิศาจแดงซีซั่นนี้

ผลงานดังกล่าวไม่หลุดรอดสายตาโชเซ่ ที่ต้องออกมาซูฮกและยกนิ้วให้กับบรรดาลูกทีมในนัดล่าสุด

"มันเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม แต่คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากไม่มีทีมที่ดี"

"พวกเขากำลังทำผลงานได้ดี พวกเขาทำให้ลูกากูมีผลยอดเยี่ยม เขาถ่อมตัวและพยายามเรียนรู้เสมอ รวมไปถึงอยากพัฒนาตัวเองตลอดเวลา"

"ผมคิดว่าแรงปรารถนาคือสิ่งนั้น และผมเชื่อว่าเขาจะทำผลงานให้เราได้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ"

"สมอลลิ่ง, ลินเดอเลิฟ มีผลงานที่ดี แม้แต่เอร์เรร่าที่ไม่ได้ออกสตาร์ตมานานก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม มาร์กซิยาลด้วย และผมกำลังกล่าวถึงนักเตะที่ไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง"

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงมอสโก

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงต้นซีซั่น ซึ่งผ่านไปเพียง 2 เดือน ยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกลให้ต่อสู้และฝ่าฟัน

อาจจะมีคำกล่าวที่ว่า 'เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง' แต่หากย่ามใจก็อาจจะ 'น้ำตาเช็ดหัวเข่า'

สิ่งที่ทำได้คือทุกคนต้องเตรียมพร้อมกันแบบนัดต่อนัด สิ่งที่ผ่านไปแล้วคืออดีต ปัจจุบันและอนาคตคือสิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้

ความผิดพลาดนำมาแก้ไข สิ่งที่ดีอยู่แล้วพัฒนาต่อไปให้ดีกว่าเก่า 

เส้นทางสู่ความสำเร็จมันไม่ง่ายอย่างที่คิด และทีมที่เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ดีที่สุดคือผู้ชนะ

และในตอนนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังพยายามพาทีมไปสู่จุดนั้น

โกสุ่ย