ปัญหาเดิมๆ
ถือเป็นผลงานที่น่าผิดหวังอีก 1 เกมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำได้เพียงเสมอกับ คริสตัล พาเลซ ทีมท้ายตารางไปแบบไม่มีสกอร์ ทำเอาแฟนบอลในสนามและทางบ้านหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์
ไม่ต่างไปจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับ 1 คะแนนที่ได้มา พร้อมหล่นความเห็นว่าเหมือนทีมเสีย 2 คะแนนในนัดล่าสุด
ไม่แปลกที่กุนซือชาวโปรตุกีสจะมองเช่นนั้น เพราะก่อนลงสนามกุนซือจอมอหังการได้คุยก่อนแล้วว่า ปิศาจแดง พร้อมเดินหน้าไล่ล่าพื้นที่ ท็อป 4 ให้ทันก่อนที่จะสิ้นปี 2018 แต่ดูจากผลงานนัดที่ผ่านมาแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่ ผีแดง จะทำได้ตามเป้าหมายที่กุนซือใหญ่ของทีมวางไว้
นอกจากจะเสียอารมณ์ที่ทีมพลาด 3 คะแนนที่ต้องได้ มันยังเป็นการเสียหน้าของกุนซือรายนี้ เพราะแน่นอนหลังการให้สัมภาษณ์เรื่องการไล่ล่า ท็อป 4 ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เกม ณ โรงละครแห่งความฝัน ซึ่งผลเสมอที่ออกมาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนสื่อและแฟนบอล แซะ, แซว, แขวะ ไปตามระเบียบ
ยิ่งมองจากผลงานจากเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา 'ปัญหา' เดิมๆกลับมาตามหลอกหลอนทัพปิศาจแดงอีกครั้ง โดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ที่ขาดความเฉียบขาด
นั่นคือปัญหาของ ยูไนเต็ด ยามลงสนามในรังตนเองฤดูกาลนี้ เพราะสถิติยามลงเล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ผ่านไป 9 นัดในทุกรายการของซีซั่นนี้ปรากฏว่าทีมยิงคู่แข่งไม่ได้ถึง 4 นัด (สเปอร์ส, บาเลนเซีย, ยูเวนตุส และ คริสตัล พาเลซ) และหากใครติดตามทีมตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาลก็จะพบว่าแต่ละประตูกว่าที่ลูกทีมของ มูรินโญ่ จะทำได้มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ที่สำคัญยังมีสถิติจากเกมล่าสุดเปิดเผยว่า ผลเสมอใน 45 นาทีแรกของเกมกับ พาเลซ ถือเป็นเกมที่ 8 จาก 10 นัดหลังสุดในทุกรายการที่ ปีแดง ทำสกอร์ใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ไม่ต่างจากนัดล่าสุด ถึงโอกาสจะมากกว่าทีมเยือนที่ยิงตรงกรอบเพียง 2 หน ทว่า ดิ อีเกิ้ลส์ กลับได้เสียวและมีโอกาสคว้าชัยออกไป เรื่องนี้สร้างความขุ่นเคืองและไม่สบอารมณ์ไปยังแฟนบอลอย่างมาก เช่นเกียวกับ แพ็ดดี้ ครีแรนด์ กูรูทางช่อง เอ็มยูทีวีและตำนานของทีมที่มองว่าเกมที่ผ่านมาคือ 1 ในนัดที่น่าผิดหวังที่สุดของฤดูกาลนี้
เพราะด้วยปัจจัยต่างๆก่อนเกมมันเข้าทาง ปิศาจแดง เหลือเกิน พาเลซ ไม่ชนะในลีกมาตลอด 7 เกมที่ผ่านมา แนวรับห่วยแนวรุกแย่ แม้ ผีแดง เพิ่งจะแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มา กระนั้นด้วยศักยภาพอย่างไรเสียก็ต้องคว้า 3 คะแนนในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
แม้จะมีความพยายามที่จะกดดันมากขึ้นใน 45 นาทีหลัง รวมไปถึงการแก้เกมของ มูรินโญ่ ที่พยายามใส่มิติเกมรุกลงไปด้วยการส่ง มารูยาน เฟลไลนี่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดยหวังใช้ความสูงใหญ่ และ ความเร็ว เล่นงาน แถมยังมี อเล็กซิส ลงมาในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่จังหวะจบสกอร์ก็ยังขาดๆเกินๆ
ครั้นพอถึงโอกาสงามๆ ก็มีกำแพงด่านสุดท้ายอย่าง เวย์น เฮนเนสซี่ ที่งัดซูเปอร์เซฟออกมาได้ถูกเวลา
ปัญหาสำคัญที่มองได้ชัดเจนจากเกมที่ผ่านมาคือความต่อเนื่องในการกดดันและการประสานงานของทีมที่ดูขาดๆเกินๆ จังหวะที่กำลังจะสวนกลับหรือมีพื้นที่เข้าทำสวยๆ ก็จบลงด้วยการผ่านบอลที่ไม่ลงล็อก จนต้องเสียเวลาแต่งบอล ทำให้แนวรับ พาเลซ ลงไปจัดขบวนรับมือได้ทันเวลา
สิ่งเหล่านี้มันมาจากความมั่นใจของแนวรุกที่ขาดหายไป นักเตะอย่าง โรเมลู ลูกากู ที่ตอนนี้โดนสากกะเบือสิงร่าง หรือแม้แต่ อเล็กซิส ซานเชซ ที่ยังลูกผีลูกคน ซึ่งอาจจะรวมไปถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ดูมีสีหน้าหม่นหมองไร้ราศีจับ
จะมีเพียง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่มีผลงานร้อนแรงก่อนหน้าลงสนามในเกมเมื่อวันเสาร์ที่พอพึ่งพาได้ ทว่าเกมที่ผ่านมากลับเสียบสนิท
เป็นอีก 1 นัดที่น่าผิดหวังทั้งในแง่ของผลการแข่งขัน และผลงานในแนวรุก
ไม่แปลกใจที่สิ้นเสียงนกหวีดจาก ลี เมสัน จะมีเสียงโห่ดังระงมทั่ว โรงละครแห่งความฝัน เพราะนี่คือการออกตัวที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 28 ปี
มูรินโญ่ ทราบดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และเขาพยายามกระตุ้นนักเตะตลอด แต่สิ่งที่แสดงออกมาในสนามกลับดูเหมือนว่าไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น และนั่นจะเป็นโจทย์ที่ทีมต้องพยายามตีให้แตกและพยายามหาจุดเปลี่ยนให้เร็วที่สุดหากหวังที่จะติดท็อป 4 ตามที่ มูรินโญ่ ประกาศออกมา
ทำอย่างไรจะให้การประสานงานไหลลื่น และที่สำคัญคือมีความต่อเนื่อง เพื่อที่จะให้ทีมเก็บคะแนนในเกมที่ต้องการออกมาได้
เกมรับที่ว่าแย่ (เสีย 21 ประตู) แต่เมื่อมาส่องแนวรุกหลังจบเกมนัดที่ผ่านมาอ่านได้ว่า 13 เกม 20 ประตู เฉลี่ยเกมละ 1.5 ประตู
มันก็น่าปวดหัวเพิ่มไปอีก ...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT