3 คะแนนที่คิดถึง
หลังจากสะกดคำว่าชนะใน พรีเมียร์ลีก ไม่เป็นมาถึง 4 เกมติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สอนบอลเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากนั้น 3 เกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงเสมอกับ คริสตัล พาเลซ, เซาธ์แฮมป์ตัน และ อาร์เซน่อล
เสียงวิจารณ์และการตั้งคำถามถูกส่งไปยัง โชเซ่ มูรินโญ่ อีกครั้ง บังคับให้เกมกับ ฟูแล่ม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาต้องจบลงด้วยชัยชนะที่สวยงามเท่านั้น
แน่นอน ทุกคนคิดเช่นนั้น เพราะเจ้าสัวน้อยคือทีมบ๊วยของตารางแถมมีเกมรับที่ห่วยแตกที่สุดของลีกกับการเสียไปถึง 36 เกมหลังผ่านไป 15 นัด (สถิติแย่ที่สุดเทียบเท่า บาร์นสลี่ย์ ในปี 1997)
แม้เพิ่งจะเปลี่ยนกุนซือมาใช้งาน เคลาดิโอ รานิเอรี่ แต่หากดูจากกำลังพลและผลงานที่ผ่านมา แฟนบอลปิศาจแดงต่างมองไปถึง 3 คะแนนชนิดที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ปัจจัยต่างๆ ดูจะเข้าทางลูกทีมของ 'น้ามู' แต่ก็ยังแอบกังวลใจว่าทีมจะสามารถสอยตาข่ายคู่แข่งได้ก่อนและเล่นแบบสบายๆไม่ต้องไปลุ้นหรืองัดเอาไม้เด็ดในครึ่งหลังเหมือนนัดก่อนๆที่เคยเกิดขึ้นได้หรือไม่
เรื่องน่ากังวลใจที่ว่าคือสถิติในการเล่นช่วง 15 นาทีแรกของฤดูกาลนี้ ปิศาจแดง ทำได้เพียงประตูเดียว และอย่างที่ทราบว่าผลงาน 45 นาทีแรกของบรรดาแข้งผีแดงไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่
กระนั้นเกมที่ผ่านมากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเพราะลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ลงสนามพร้อมความกระหายใคร่อยากที่จะเจาะตาข่ายเจ้าสัวน้อยให้ได้ตั้งแต่ต้นเกม
แบ็กสองข้างทั้ง แอชลี่ย์ ยัง และ ดีโอโก้ ดาโลต์ เติมเกมสนุก งัดทีเด็ดพร้อมเปิดโอกาสให้กับบรรดาแนวรุกของทีมได้เข้าทำ และเพียงนาทีที่ 13 ตาข่ายของ ฟูแล่ม ก็ต้องสั่นไหว
ต้องชมความยอดเยี่ยมของ 'อ.ยัง' ที่สวมวิญญาณอดีตปีกเก่าที่ลากผ่าน เดนิส โอดพอย เข้าเขตโทษทางซ้ายแล้วตัดสินใจสับไกด้วยขวาทันที บอลพุ่งผ่านตัวบล็อกรวมไปถึง เซร์คีโอ รีโก้ นายด่านทีมเยือนเสียบมุมสุดสวย และนั่นคือประตูปลดล็อกอารมณ์และผลงานที่ตามมาของทีม
เมื่อขึ้นนำเร็วอะไรๆก็เปลี่ยนไปในทางดีขึ้น ซึ่งราวกับว่าแข้งผีแดงทุกคนเหมือนถูกฉีดสารกระตุ้นและความอยากเข้าไป เพราะหลังจากนั้นแทนที่จะเน้นรัดกุมตามสไลต์ มูรินโญ่ ทว่านักเตะต่างระดมกำลังเดินหน้าบุกต่อเนื่องจนประตูที่ 2 และ 3 ตามมา
ประตูแรกมาจากการต่อบอลจำนวน 25 ครั้งของนักเตะ 10 รายก่อนจะมาจบที่ความสามารถเฉพาะตัวของ 'อ.ยัง' ทว่าสองประตูต่อมาคือการเล่นงานแนวรับของฝ่ายตรงข้ามด้วยการเจาะตามช่อง
โรเมลู ลูกากู ถ่ายออกทางซ้ายให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด มีเวลาหาจุดหมายก่อนจะเลือกไหลคืนมาให้ ฆวน มาต้า สอยตาข่ายลูกที่ 50 ในพรีเมียร์ลีกเข้าไป
ไม่ต่างไปจากประตูที่ 3 ที่มาจากการแทงเข้าช่องของ เจสซี่ ลินการ์ด มาที่ มาต้า (ที่ทำแอสซิสต์ที่ 50 ในลีกสูงสุดอังกฤษ) ตบเข้าในให้ ลูกากู (ประตูแรกใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด รอบ 997 นาที) แปจ่อๆไม่พลาด
45 นาทีแห่งความสมบูรณ์แบบที่สร้างความอิ่มเอมใจให้กับแฟนบอลในสนามและทางบ้านได้ฉีกยิ้มพร้อมกับความมั่นใจว่าทีมรักจะคว้า 3 คะแนนที่คิดถึง
แม้ว่าเกมในครึ่งหลังจะดูเฉื่อยลงไป จังหวะไม่ได้รวดเร็วและสะเด่าเหมือนครึ่งแรก จนต้องมาโดนตีไข่แตกจากจุดโทษของ อาบูบาการ์ กามาร่า แต่ใบแดงของ ฟร้องซ์ ซ็อมโบ อ็องกีส์ซ่า กองกลางฟูแล่ม ทำให้เกมแทบจะรูดม่านปิดฉาก
ผู้เล่นเหนือกว่า สกอร์ก็ยังเป็นต่อถึง 2 ประตู กระนั้นแข้งผีแดงยังคงโขยกและกระเหี้ยนกรือหือที่จะทำสกอร์เพิ่มโดยเฉพาะ แรชฟอร์ด ที่ดูจะมุ่งมั่นเป็นพิเศษ
แข้งที่เป็นหน่อเนื้อของชาวแมนคูเนี่ยนพยายามอย่างหนักเพื่อมีชื่อในสกอร์บอร์ด จนสามารถทำสำเร็จในนาที 82 และนั่นคือทสรุปของเกมที่สกอร์ 4-1
สิ่งที่เห็นจากเกมล่าสุดคือผลงานที่พัฒนาในช่วง 45 นาทีแรก ความกระหาย, มุ่งมั่น และความอยากในการเล่นทำให้แฟนบอลรู้สึกสนุกและส่งเสียงเชียร์ตามตลอดที่นักเตะเดินหน้าเปิดเกมรุก
ดีโอโก้ ดาโลต์ ยังคงได้รับคำชมไม่ขาดสายจากผลงานการลงสนามเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกนัดที่ 2 ติดต่อกัน ทั้งจังหวะเติมทางขวา, การครอสที่ทำให้แฟนบอลได้ลุ้นเสมอ และที่สำคัญคือการสิ่งขึ้นลงไปแบบไม่มีหมด ส่งผลให้แข้งวัย 19 ปี คว้า แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของสโมสรไปครอง
ไม่ต่างไปจากตำแหน่งอื่นๆ ทั้ง เนมานย่า มาติช และ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่คุมแดนกลางได้ดี รวมไปถึงแนวรุกทั้ง 4 รายที่สอดประสานกันอย่างลงตัว
ทว่าสิ่งที่ยังคงต้องปรับปรุงคงหนีไม่พ้นการยืนระยะและปิดเกมให้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะจังหวะเสียจุดโทษที่เป็นการพลาดแบบไม่น่าเกิดขึ้นซึ่งต้องบังคับให้ เอร์เรร่า ตามไปสอย กามาร่า ในท้ายที่สุด
เรื่องการผ่อนเกมในครึ่งหลังพอเข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมาแข้งผีแดงต้องลงเล่นต่อเนื่องมาตลอด นักเตะบางรายไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะคู่กองหลังตัวกลาง แต่ความละเอียดในการเล่นถือว่าสำคัญและนั่นคือสิ่งที่ มูรินโญ่ พยายามเน้นอยู่เสมอเพื่อให้ลูกทีมมีวินัยและรักษาสมดุลของเกมเอาไว้ให้ครบ 90 นาที
ลองคิดอีกมุมหนึ่งคือหาก ฟูแล่ม ไม่เหลือ 10 คน เสียก่อน ปิศาจแดง ก็อาจจะเจอการบดบี้และเดินหน้าแลกที่หนักขึ้นของเจ้าสัวน้อย หรือหากเป็นเกมอื่นๆที่เจอกับทีมที่มีศักยภาพมากกว่าทีมจากลอนดอน ก็อาจจะส่งผลให้ ผีแดง ลิ้นห้อยและเหนื่อยมากขึ้น สิ่งสำคัญคือการเอาบทเรียนจากตรงนี้ไปพัฒนา รวมไปถึงการเพิ่มสมาธิในเกมให้ดีกว่าเดิม ...
ชัยชนะที่สวยงามผ่านพ้นไป งานหน้าคือการบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสเปนเพื่อดวลกับ บาเลนเซีย ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ชัดเจนว่า มูรินโญ่ จะทำการพักแข้งตัวหลักและส่งสำรองลงสนามเพราะทีมตบเท้าเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้ว แม้ว่าจะมีโอกาสแซงเข้าที่ 1 (ในกรณีบุกชนะ บาเลนเซีย และ ยูเวนตุส ไม่ชนะ ยัง บอยส์) แต่หากกางโปรแกรมที่รออยู่หลังจากนั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักแกนหลักให้พร้อมรบกับเกมลีกนัดถัดไป
เพราะคู่แข่งที่พวกเรากำลังจะไปเยือนในคืนวันที่ 16 ธันวาคมนี้คืออริไม่เผาผีอย่าง ลิเวอร์พูล ที่กำลังนำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก
มันคือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครยอมใคร และแน่นอนว่าสำหรับสาวกปิศาจแดงมันมีความหมายถึงการขัดขวางไม่ให้ หงส์แดง อยู่บนบัลลังก์จ่าฝูงนานเกินไป แม้ผลงานโดยรวมจะเป็นรองทั้งในสนามและนักเตะ แต่การเจอกันของคู่นี้สูสีเสมอและสามารถออกได้ทั้ง 3 หน้า
หากมองจากชัยชนะนัดที่ผ่านมา ถือเป็นการเรียกความมั่นใจได้ถูกจังหวะเวลาอย่างมาก โดยเฉพาะผลงานในช่วง 45 นาทีแรกที่เกิดขึ้น ซึ่งเหลือเพียงการทำงานในรายละเอียดที่เหลือที่ต้องเน้นให้มากกว่านี้ในการออกไปเยือนที่ แอนฟิลด์
ถึงจะถูกมองว่าเป็นรองในช่วงนี้ แต่เชื่อเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ว่าแข้งผีแดงจะงัดเอาศักยภาพและพลังแฝงในร่างกายมาสู้กับ ลิเวอร์พูล อย่างเต็มกำลัง
ชัยชนะเหนือ ฟูแล่ม ในนัดที่ผ่านมาพร้อมการคว้า 3 คะแนนอีกครั้ง (ในรอบ 4 นัด) ของ ปิศาจแดง คือความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นมาและต้องดูกันว่ามันจะส่งผลมากน้อยเพียงใดในการออกไปเยือน แอนฟิลด์ ในนัดต่อไป
นัดสำคัญที่มากกว่า 3 คะแนน เพราะมันมีศักดิ์ค้ำคอทั้งสองฝ่าย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT