แกรี่ เนวิลล์: วันเวลาที่ผมจดจำไม่มีวันลืม (1)
แม้ว่าจะมี 3 เหตุการณ์ ที่เกือบจะทำให้ผมหวั่นไหวตามไปก็ตาม
บาร์เซโลน่า
ผมต้องบอกเลยว่าถือเป็นโอกาสที่ดีในการได้รับสัญญาในตอนที่อายุได้ 14 ปี
การลงประเดิมสนาม
นั่นคือความคิดหนสุดท้าย 'ฉันลงเล่นให้ ยูไนเต็ด' มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม มันรู้สึกเหมือนกับผ่านมานาน ใช่ มันผ่านมานานมากถึง 25 ปี
และมันเป็นการทุ่มบอลเข้าสนาม เกมประเดิมสนามของผมคือการทุ่มบอลเข้ามาในนัดที่ดวลกับ ตอร์ปีโด มอสโก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ใช้เท้าสัมผัสลูกฟุตบอลเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่เคยเกิดขึ้น แต่มันคือตัวอย่างในเส้นทางอาชีพของผมอย่างแท้จริง!
ผมจำได้ถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับวันนั้น สิ่งที่จดจำได้ดีคือมันเป็นครั้งแรกที่ผมได้พักในโรงแรมก่อนเกมของทีมชุดใหญ่ พ่อของผมทิ้งผมไว้ในตอนรับประทานอาหารกลางวันและเราอยู่ที่โรงแรม มิดแลนด์
ในตอนที่ผมมีอายุได้ 23 หรือ 24 ปี ที่ ยูไนเต็ด เราใช้ห้องร่วมกัน คริส แคสเปอร์ อยู่ในทีมด้วยและผมใช้ห้องร่วมกับเขา ผมเคยใช้ห้องเดียวกับ แคส ในตอนที่เล่นให้ทีมเยาวชน แต่ในตอนที่เราได้ห้องนี้ ผมพูดประมาณว่า:
"แคส ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ พวกเราอยู่ที่โรงแรม มิดแลนด์!"
พวกเราลงไปทานอาหารกลางวันซึ่งไม่น่าเชื่อว่าอาหารทุกอย่างถูกจัดวางแบบบุฟเฟ่ต์ เราเคยทานอาหารที่ เดอะ คลิฟฟ์ ในช่วงวันศุกร์ เธเรซ่า ที่ทำหน้าที่ในโรงอาหารจะนำ ไส้กรอก, มันฝรั่งแผ่น และ ถั่ว มาให้พวกเรา ส่วนวันพฤหัสบดีเป็นครีมชีส
ถ้าทีม เอ ต้องออกไปเยือน มอร์แคมบ์ ในคืนวันศุกร์ เอริค แฮร์รีสัน จะสั่งให้คุณทานมันฝรั่งแผ่นก่อนเกม! มันเกือบจะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด คุณทราบดีว่าหากเอาชนะมาได้ มันฝรั่งแผ่นของคุณก็จะอร่อยยิ่งขึ้น
จิมมี่ เคอร์แรน นักกายภาพบำบัดและหมอนวดในทีมของ เอริค รวมไปถึงคนที่ยอดเยี่ยมรอบๆตัวเขาจะเดินวุ่นไปตามท้องถนน เมื่อเรากลับมาเขาจะเตรียมมันให้พร้อมอย่างเสร็จสรรพ เป็นเรื่องปกติที่เราสู้อย่างเต็มที่ตามที่ได้รับคำสั่งมา นั่นเป็นเพราะ บีตตี้
บัตตี้ เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่สั่งฟิช แอนด์ ชิพส์ แต่ไส้กรอกกับมันฝรั่งท่าจะดูดีกว่า ต่อมาเขาบอกว่าจะสั่งสิ่งนั้น และมีใครสักคนที่สั่งผิดไป คุณทราบดีว่าไม่มีใครสั่งผิดหรอกแต่เป็น บัตตี้ ที่สั่งผิดไปเสียเอง
คุณอาจจะพูดได้ว่า ตอนที่ผมร่วมทีมครั้งแรกนั้น สโมสรยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาเรื่องอาหาร!
ทันใดนั้น พวกเราอยู่ที่ มิดแลนด์ ผมและแคส อยู่ที่โรงแรมเก่าที่ใหญ่โตซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมือง กำลังจ้องไปที่อาหารมากมาย และคิดว่าทำสำเร็จ ในฐานะเด็ก คุณเพียงลงมือทำ
หลังจากทานเสร็จ พวกเรากลับไปที่ห้องพร้อมกับเตียงคู่อันโออ่า มันอาจจะเป็นเพียงห้องธรรมดา แต่สำหรับพวกเรามันรู้สึกเหมือนกับห้องสวีต และพวกเรากำลังคิดว่า:
"ตอนนี้จะทำอะไรกันดี?"
คุณอาจจะคิดว่าเป็นการเข้านอน นักเตะที่อาวุโสกว่าทราบดี นั่นคือกิจวัตร ดังนั้นพวกเขาจึงไปเข้านอน แต่พวกเรากลับนอนไม่หลับ เราเพิ่งจะ 17 ปีเองนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก
บัตตี้ และ เบ็คส์ อยู่ในทีมเช่นกัน มันเกิดขึ้นหลังจากคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ไม่ถึง 6 เดือน มีการพูดถึงกลุ่มพวกเราอย่างมาก และในตอนนั้นยังเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับนักเตะในกลุ่มของพวกเราที่อยู่ในทีม เอ
ปีแรกของพวกเราที่ลงเล่นฟุตบอลที่ เดอะ คลิฟฟ์ เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง ผมมองย้อนกลับไปในตอนนี้และจำหลายสิ่งได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พวกเรากำลังทำ ซึ่งมันคือฟุตบอลที่พวกคุณจะได้เห็นในระดับที่สูง
ผมจำได้เลยว่า เดอะ คลิฟฟ์ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเพื่อชมพวกเราเล่น ตอนนั้นไม่ว่าใครก็ตามสามารถเดินมาชมได้เลยโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินและมันเต็มตลอด ทีมชุดใหญ่ก็เข้ามาชมเช่นกัน
ฟุตบอลเป็นเรื่องแปลกที่ไม่น่าจะเป็นจริงได้ และนั่นคือการที่ทีมปราศจาก กิ๊กซี่ เกือบจะตลอดเวลาเพราะตอนนั้นเขาถูกดันขึ้นไปอยู่ในทีมชุดใหญ่แล้ว แต่เราจะรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมในตอนที่เขากลับมาสู่ทีมเยาวชน
พวกเราคือทีมที่ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ เพราะตอนนั้นเราไม่มีแม้แต่กองหน้าตัวเป้าในทีม นั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเราไม่มี
กิ๊กซี่ เข้ามาและทำให้ระดับมันแตกต่างไปอย่างชัดเจน กอกลางมี เบ็คส์, บัตตี้, ไซม่อน เดวิส, เบน ธอร์นลี่ย์, คีธ กิลเลสพี ... ปีแรกนั้น สโคลซี่ ยังไม่ได้อยู่ในทีมด้วยซ้ำไป!
เป็นเรื่องที่พิเศษที่ได้เป้นส่วนหนึ่งในทีมนั้น ผมยังคงคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ผมได้รับข้อเสนอให้เป็นนักเรียนฝึกหัด
ครอบครัวและตัวของผมคิดเพียงว่าผมกำลังจะรับข้อเสนอไปอีกปี ซึ่งพวกเขาเสนอสัญญา 4 ปีมาให้ ช่วงอายุ 14 - 16 ปีในโรงเรียนเป็นเรื่องของความมั่นใจในการเล่นแบบเต็มเวลาตั้งแต่อายุ 16-18 ปี
พ่อของผมขับรถไปที่โรงเรียนและบอกพวกเขาว่า "ผมอยากให้เขาออกจากโรงเรียน" ซึ่งในตอนที่เขาบอกผมนั้น ผมกำลังคิดว่า
"ไม่อยากจะเชื่อเลย"
ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลานั้น
ช่วงเวลานั้นทำให้ผมได้มีโอกาสรับบดทดสอบกับสภาพแวดล้อมที่เกือบจะน่าเหลือเชื่อที่สุด ผู้จัดการทีมเป็นคนที่เรียกร้องจากนักเตะสูงมาก แต่พวกเราเคยทำงานกับเขามาก่อนแล้ว เรามีโค้ชอย่าง เอริค แฮร์รีสัน และ น็อบบี้ สไตล์ส
และพระเจ้า พวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่เรียกร้องจากนักเตะสูงมาก
เอริค มาจากยอร์คเชียร์ กองหลังจากทีมนอกลีกที่อาจจะกล้าหาญมากที่สุด กองหลังที่ชั่วร้ายมากที่สุดที่คุณเคยเจอ จมูกของเขาอาจจะหักมาแล้วกว่า 8 ครั้ง แข็งแกร่งดั่งภูผา
น็อบบี้ ก็คือ น็อบบี้ เขาจะส่งพวกเราลงสู่สนามและคำพูดสุดท้ายที่มีให้กับพวกเราคือ "จำไว้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของพวกแกอยู่ที่นั่น" เขาหมายถึงรองเท้าสตั๊ด มันเป็นวิธีการของเขาในการบอกให้คุณเอาชนะการต่อสู้
จดจำถึงเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในทุกๆเกม ถ้าใครในทีมแพ้การปะทะหรือเล่นนอกเหนือจากเกม เขาจะคลุ้มคลั่ง ความต้องการเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยเมื่อคุณอยู่ไม่ไกลจากทีมชุดใหญ่
นั่นคือผู้นำของห้องแต่งตัว มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถึงสิ่งที่สโมสรนี้มีอยู่อย่างมากมาย สโมสรมีนักเตะอย่าง บรู๊ซ, พัลลิสเตอร์, อินซ์, ร็อบสัน, แม็คแคลร์, ชไมเคิ่ล, เออร์วิน, ฮิวจ์ส และ พวกเขาเหล่านี้มีความสามารถที่จะก้าวมาเป็นกัปตันทีมได้
ยังมี คันโตน่า และ คีน ในทีมด้วย หรือแม้แต่ กิ๊กซี่ ที่กลายเป็นกัปตันทีมในตอนที่เขาอาวุโสขึ้น
ดิออน ดับลิน, มิค ฟีแลน, เคลย์ตัน แบล็คมอร์ พวกเขาเหล่านี้ต่างทำตัวได้อย่างยอดเยี่ยมกับนักเตะหนุ่ม พวกเราโชคดีจริงๆที่ได้เข้าไปยังห้องแต่งตัวนั้น แต่พวกเขายังทำให้คุณกลัวเช่นกัน มันเป็นโรงเรียนที่น่ากลัว
การซ้อมของทีมชุดใหญ่เป็นเรื่องที่หนักมาก พวกเขาคาดหวังจากคุณอย่างมาก ต้องการการจ่ายบอลที่ดี, ต้องการให้คุณเล่นกับบอล, หยุดการครอส, ป้องกันข้างหลัง, เอาชนะลูกโหม่ง
การแพ้ลูกกลางอากาศเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ การปล่อยให้กองหน้าของคุณสะกิดบอลได้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน การปล่อยให้ผ่านไปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ พวกเขาจะไม่ยอมรับกับความผิดพลาด
นี่คือสิ่งที่พร่ำสอนผมอยู่ตลอดในตอนที่ผมนั่งในห้องประชุมใหญ่ของ มิดแลนด์ การรอเวลาให้ค่ำคืนมาถึง
แน่นอนว่าใจผมไม่อยู่กับร่องกับรอย ผมเพียงรู้สึก เฉลี่ยวใจเล็กน้อย ผมรู้ว่าผมกำลังจะอยู่ในม้านั่งสำรอง แต่ผมเพียงเอะใจว่าผมอาจจะได้ลงในบางช่วง ดังนั้นผมต้องพร้อม ทุกๆอย่างต้องถูกต้อง
ช่วงเวลาเกือบทั้งหมดที่ผมมี ผมคิดว่าถ้าสามารถบอกตัวเองให้เตรียมตัวให้ดี ทำหลายสิ่งในทิศทางที่ถูกต้อง, ทานอาหารที่ถูกต้อง นั่นคือกุญแจสำคัญ
ตอนที่ผมอยู่ในอุโมงค์สนาม มันเหมือนการตรวจสอบ คุณถามตนเองว่า "ฉันทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเองเล่นได้ดีในเกมนี้แล้วหรือยัง?"
ตลอดหลายปีในเรื่องนั้นคุณพัฒนาให้มันเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันทีละน้อย แม้แต่การนั่งให้ถูกที่เมื่ออยู่บนรถหรือการพันสายรัดกล้ามเนื้อให้ถูกตำแหน่ง
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาในตอนที่ผมกลับไปเล่นเกม เทสติโมเนียล แมตช์ ของ ไมเคิ่ล คาร์ริค พวกเขาไม่มีสายรัดเนื้อของผม ผมไม่อยากจะเชื่อเลย พวกเขาต้องเก็บสายรัดนั้นไว้ 20 ปี ต้องทำสิ มันเคยเป็นสายรัดของผม สายรัดขนาด D ไม่ใช่ E หรือ C ขนาด D
และปลายสายรัด 2 อันที่ถูกตัดด้วยกรรไกรอันเดิมเสมอ ผมเคยมีปลายสายรัด 2 อันที่คุณคงเดาได้ว่าถูกตัดจากกรรไกรตัดผ่าพันแผล แต่ผมตัดมันด้วยกรรไกรธรรมดาเสมอเพราะผมไม่สามารถตัดมันด้วยกรรไกรแปลกๆพวกนั้นได้เลย เรื่องงี่เง่าเหล่านั้นในเส้นทางอาชีพของผมต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง
ผมนั่งในห้องน้ำรวมของนักเตะ (ในห้องเดิม) ประมาณ 15 นาที ตอนที่เจ้านายพูดคุยกับทีมเสร็จสิ้น ผมสวมชุดและนั่งในห้องน้ำ เอาฝาลง และใช้เวลา 15 นาทีอ่านหนังสือโปรแกรมอย่างเงียบๆ ผมทำแบบนั้นทุกๆเกม
แม้แต่วันก่อนลงสนาม ออกจากสนามซ้อมก่อนเกมวันแข่ง ผมยังเคยวิ่งแบบซิกแซกในทุกๆวันศุกร์ของการซ้อม
นักเตะใหม่ นักเตะต่างชาติที่ย้ายเข้ามาในช่วงท้าย พูดเลยว่าเป้น โรนัลโด้ และ เตเวซ พวกเขากำลังมองและอาจจะพูดว่า "ไอ้โง่นี่กำลังทำอะไรอยู่วะ?"
นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น สิ่งเหล่านั้นถูกสร้างมาในช่วงเวลาที่พิเศษ ดังนั้นพวกมันไม่ได้มีมาก่อนเกมแรกของผม กระนั้นแม้แต่ในตอนนั้น ช่วงอายุได้ 17 ปี ผมรู้เพียงว่าต้องรับการนวดบริเวณแผ่นหลังช่วงล่าง ผมไม่ได้มีแผ่นหลังที่แย่ จิม แม็คเกรเกอร์ นักกายภาพบำบัดเกลียดมัน
"นี่มันอะไร?"
"ผมแค่อยากนวด"
เขาต้องทำ เขาทำไปพร้อมกับอาการหัวเสียตลอดเวลา บ่นไปมา ทุกๆเกมตลอด 25 ปี ผมเข้ารับการนวด ผมต้องการมัน ทุกๆสิ่งทำให้ผมสงบลง ....
(ติดตามตอนต่อไปในวันอาทิตย์)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT