ศึกเดือดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
สำคัญในแง่เป้าหมายของทั้ง 2 ทีมที่อาจจะแตกต่างกันแต่ชัยชนะอาจจะกำหนดทิศทางในฤดูกาลนี้
นอกจากนั้นยังสำคัญในเรื่องของศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครยอมใคร ซึ่งความปราชัยไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องการหลังสิ้นเสียงนกหวีด
และมันยังสำคัญในเรื่องของสภาพจิตใจที่จะส่งผลไปยังเกมที่เหลือของฤดูกาลนี้
ในมุมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่านี่เป็นการล้างแค้นจากเกมแรกที่แพ้มา 1-3 ซึ่งแฟนบอลปิศาจแดงคงจำได้ดีเพราะหลังจบดังกล่าวไม่นาน โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องกระเด็นตกเก้าอี้นายใหญ่
แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องที่ดีเพราะหลังจากนั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาโอบอุ้มทีมและผลักดันพลพรรค เร้ด อาร์มี่ เดินหน้าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนไต่มาติดพื้นที่ 'ท็อป 4'
ความมั่นใจล้นทะลัก แม้จะมีสะดุดหลังจากปราชัยคารังให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ 'ผีแดง' ดีดตัวกลับมาได้เร็วพร้อมเรียกความมั่นใจกลับมาจากชัยชะเหนือ เชลซี ในศึก เอฟเอ คัพ
จนถึงวินาทีนี้ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชและนักเตะ ยูไนเต็ด กำลังขะมักเขม้นในการคิดวิธีการรับมือและจัดการ ลิเวอร์พูล เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนคือการคว้าชัยและรักษาพื้นที่ 'ท็อป 4' ต่อไป
สภาพทีมอย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ เจสซี่ ลินการ์ด เดี้ยงมาตั้งแต่เกมกับ เปแอสเช ซึ่งโอกาสลงสนามในวันอาทิตย์นี้มีน้อยมาก (จากข่าวเมื่อเย็นวันพฤหัสดีที่)
แต่ตำแหน่งอื่นๆถือว่าพร้อมรบไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงแดนกลางที่คงขนชุดใหญ่ลงสนาม โดยเฉพาะ ดาบิด เด เคอา ที่จะกลับมาเฝ้าเสาอีกครั้งหลังปล่อยให้ เซร์คิโอ โรเมโร่ โชว์ฟอร์มใน เอฟเอ คัพ
แดนหลังถือว่าตัวเลือกเยอะโดยเฉพาะปราการหลังตัวกลางที่มี วิคตอร์ ลินเดเลิฟ เป็นเบอร์ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ที่เหลือก็ต้องไปแย่งกันเองระหว่าง ฟิล โจนส์ (เพิ่งฉลองวันเกิดอายุ 27 ปีไปหมาดๆ), คริส สมอลลิ่ง และ เอริค ไบยี่
ส่วนตำแหน่งวิงแบ็กสองฝั่งนั้น แม้จะมีรายงานว่า แอชลี่ย์ ยัง ที่สะสมใบเหลืองครบกำหนดหลังจากโดนจดชื่อในเกม เอฟเอ คัพ กับ สิงโตน้ำเงินคราม ทว่า ตามรายงานจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ระบุเองว่าโทษแบนดังกล่าวไม่ส่งผลในเกมลีก (ซึ่งจะนับในเฉพาะใน เอฟเอ คัพ เท่านั้น) ทำให้แข้งประสบการณ์รายนี้ลงสนามได้ไม่มีปัญหา ซึ่งทางซ้ายแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น ลุค ชอว์
ตรงกลางสนามนั้นชัดเจนว่า 3 ประสานอย่าง ปอล ป็อกบา ที่กำลังทำผลงานได้ดีจะลงนำทีม โดยมีลูกหาบอย่าง เนมานย่า มาติช และ อันเดร์ เอณืเรร่า ลงช่วย โดยเฉพาะรายหลังที่กำลังได้รับคำชมจากแฟนบอลปิศาจแดงอย่างมาก
ขึ้นมาที่แนวรุก มาร์คัส แรชฟอร์ด คงยืนพื้นเพราะผลงานแจ่มแจ๋วที่สุด โดยที่เหลือต้องเดาใจว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะเลือกใครลงสนามเพราะตอนนี้มี โรเมลู ลูกากู, อเล็กซิส ซานเชซ และ ฆวน มาต้า เป็นทางเลือก
นั่นคือสภาพทีมคร่าวๆของ แมนฯ ยูไนเต็ด
ตัดภาพมาที่ ลิเวอร์พูล สักเล็กน้อย
หงส์แดง เพิ่งลงเล่นเกมสำคัญในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งผลลงเอยด้วยการเสมอแบบไม่มีสกอร์
จุดเด่นของ หงส์แดง ในซีซั่นนี้คือแนวรุก 3 ประสานอย่าง ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โม ซาล่าห์ ที่รวมกันสอยตาข่ายในลีกไปแล้ว 38 ดอก
ที่สำคัญคือแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นซึ่งนั่นเป็นจุดสำคัญให้ หงส์แดง บินสูงจนถึงทุกวันนี้
26 เกมลีกผ่านไปในซีซั่นนี้พวกเขาเสียไปแค่ 15 ประตูและกุญแจสำคัญในเรื่องดังกล่าวคงหนีไม่พ้น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่จะพ้นโทษแบนจาก 'ยูซีแอล' กลับมาประจำการในเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
นอกจากนี้การเล่นของ ลิเวอร์พูล ยังเป็นจุดเด่นและเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญ พวกเขาเล่นบอลเพรสซิ่งกดดันคู่แข่งและอาศัยความคล่องตัวของนักเตะในการเดินเกมและทำลายคู่แข่ง
จะสังเกตได้ว่างนักเตะของพวกเขาเกือบทุกตำแหน่งจะเล่นและเคลื่อนที่กับบอลได้ดี หลายคนมีความคล่องตัว ปราดเปรียว และรวดเร็ว โดยเฉพาะแดนหน้าและกองกลางในยามที่พาบอลโต้กลับ
วิงแบ็ก 2 ฝั่งก็ยังเป็นจุดเด่นทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เติมเกมได้มันมาก
การบ้านสำคัญของ โอเล่ และทีมงานคือการหาวิธีหยุดอาวุธในแนวรุกของ หงส์แดง นั่นคือ 3 ประสานในแดนหน้าและการเติมเกมของสองวิงแบ็ก รวมไปถึงทำลายแดนกลางของฝ่ายตรงข้ามให้ได้
กลยุทธ์จุดนี้เชื่อว่า โซลชา คงมีในใจแล้ว และกำลังเตรียมตัวถ่ายทอดวิธีการให้ลูกทีมเข้าใจก่อนลงสนามอย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้วเรื่องแท็คติกถือเป็นจุดสำคัญที่ โซลชา มักจะโดนนักวิจารณ์ฝั่งอังกฤษรุมเล่นงาน โดยเฉพาะหลังจบเกมกับ เปแอสเช
ในเกมกับ ปารีส เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าแบ็กทั้งสองฝั่งของ ปิศาจแดง โดนปิดการขึ้นเกมไม่ให้มีส่วนร่วมในแนวรุกเลย เพราะ โธมัส ทูเคิ่ล ใช้งาน ดานี่ อัลเวส และ ฆวน เบร์นาต ได้อย่างไม่มีที่ติ
ไหนจะแดนกลางผีแดงในวันนั้นที่โดน มาร์โก แวร์รัตติ เพียงรายเดียวเล่นงานเสียอยู่หมัดและไปไม่เป็น
นั่นคือบทเรียนที่ โซลชา ได้รับมา และมันมาแสดงผลในนัดต่อไปกับ เชลซี ที่ กุนซือชาวนอร์เวย์งัดกึ๋นออกมาเล่นงาน สิงโตน้ำเงินคราม
จุดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ โซลชา ในการหาวิธีทลายแนวรับของ เชลซี ด้วยการฉีก 2 กองหน้าอย่าง แรชฟอร์ด และ ลูกากู ออกไปด้านข้าง พลางให้ ป็อกบา และ เอร์เรร่า ขยับเข้าเขตโทษตามจังหวะที่เหมาะสม
ระบบการเล่นดังกล่าวเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงต้นเกมที่ ลูกากู มีโอกาสครอสเรียดให้ แรชฟอร์ด ซึ่งจังหวะนั้นโดน ดาวิด ลุยซ์ สกัดตัดหน้าไปได้ก่อน กระนั้นวิธีการดังกล่าวก็ได้ผลจากการสอดประสานของแนวรุกซึ่งเป็นตามที่แท็คติกวางไว้ทุกประการ ...
การศึกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ใช่จะตัดสินกันเพียง 11 ผู้เล่นในสนาม แต่มันรวมไปถึงกึ๋นของผู้จัดการทีมและทีมงานในการหาวิธีการทำลายฝ่ายตรงข้ามให้พังพาบ
ปิศาจแดง ปักธงชัดเจนว่านี่คือเกมล้างตาของพวกเขาหลังจากนัดแรกแพ้มาแบบสู้ไม่ได้ทั้งเรื่องของสกอร์และรูปแบบการเล่นที่เป็นรองแบบชัดเจน
แต่มาวันนี้ความมั่นใจเต็มกระเป๋ารวมไปถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าเพื่อจบพื้นที่ 'ท็อป 4' และที่สำคัญเพื่อแฟนบอลที่ให้กำลังใจ ซึ่งนั่นจะเป็นตัวแปรสำคัญในเกมนี้
นับได้ว่าเกมนัดสำคัญที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันอาทิตย์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในหลายมุมมองไม่ว่าจะเป็นฝั่ง 'ผี' หรือ 'หงส์'
โดยเฉพาะอย่างในฝั่งแฟนบอลที่ต่างเกทับบลัฟแหลกก่อนเกมชนิดที่ไม่มีใครยอมกัน และต่างมั่นใจว่าทีมของตนเองจะกลับออกมาพร้อมกับ 3 คะแนนในมือ
อ้อ ... ยังมีประเด็นเรื่องผู้ตัดสินอย่าง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ที่แฟนบอลผีแดงมองว่าเรื่องดังกล่าว ลิเวอร์พูล อาจจะได้ประโยชน์ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องมุมมองของแฟนบอล
กระนั้นสิ่งที่จะตัดสินคือการเล่นตลอด 90 นาทีในโรงละครว่าใครผิดพลาดน้อยหรือเฉียบขาดมากกว่ากัน โดยที่ปัจจัยอื่นๆก็อาจจะเข้ามามีส่วนสำคัญไม่มาก็น้อย
ส่วนผลลัพธ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันด้วยเหตุและผลหลังจบเกม
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT