หลังจากนี้
ดูเพียงสกอร์บอร์ดอาจจะมองว่าเฉียดฉิว แต่หากใครนั่งชมเกมตลอด 90 นาทีต้องยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า ทีมหมาป่า สมควรเป็นผู้ชนะและเข้าเป็นเล่นรอบรองชนะเลิศที่ เวมบลีย์
ผิดกับ ปิศาจแดง ที่เล่นต่ำกว่ามาตรฐานแม้ว่าก่อนเกมบรรดาสาวกอาจจะแอบยิ้มเพราะดูรายชื่อมีทั้ง อันเดร์ เอร์เรร่า, เจสซี่ ลินการ์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กลับมาลงสนามเป็นตัวจริง
แต่ผลงานบนผืนหญ้ากลับตรงกันข้ามกับ ผีแดง ยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ล่นบอลได้รวดเร็ว คุกคามแนวรับฝ่ายตรงข้ามได้ดี ทว่านัดล่าสุดกลับดูเซื่องซึม เหงาหงอย และไม่เป็นธรรมชาติ
จังวะต่อบอลดูขาดๆเกินๆ ไม่ตรงช่อง ซึ่งจุดนี้ก็ต้องชม วูล์ฟส์ โดยเฉพาะ นูโน่ เอสปีรีโต้ ซานโต้ ที่วางแผนมาได้อย่างดีเยี่ยม
ทีมหมาป่าจากมิดแลนด์สอาจจะมีเกร็งๆในช่วงแรก แต่พอเริ่มปรับกับบรรยากาศและคลายความกดดันออกไป พวกเขาเริ่มบีบพื้นที่ใส่นักเตะ ผีแดง ตั้งแต่แดนหน้า
หลายจังหวะที่เราจะเห็นได้ว่าแข้ง ปิศาจแดง จะเจอกับการเล่นที่อึดอัดและไม่สามารถพลิกบอลได้แบบสบายๆ หรือมีเวลาให้คิดให้ทำ พวกเขาต้องเจอกับการปะทะและบดบี้จากแข้งเจ้าบ้าน ซึ่งนั่นทำให้การเชื่อมเกมของทีมเยือนขาดตอนและไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวรุกทั้ง 3 รายไม่ว่าจะเป็น ลินการ์ด, มาร์กซิยาล หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แทบจะไม่มีโอกาสสับไกสร้างปัญหาให้ จอห์น รัดดี้ ได้เลย
ไหนจะ ปอล ป็อกบา ที่หายไปจากเกมและเงียบสนิทชนิดที่แทบจะถูกตัดออกจากเกม จังหวะที่หนุ่มพลังม้าจากฝรั่งเศสรายนี้ได้โอกาสทำเกมก็จะโดนกองกลางหรือกองหลัง วูล์ฟส์ สลับกันเตะตัดขาไม่ให้สร้างความอันตรายได้
นี่คือแผนการที่ นูโน่ เตรียมเพื่อตัด ป็อกบา ออกจากเกมและลดทอนอันตรายของแข้งเบอร์ 1 ปิศาจแดง
จุดนี้ต้องปรบมือให้กับ วูล์ฟส์ ที่ทำการบ้านมาดี นักเตะเล่นไต้ตามแผนที่วางไว้ และเกือบจะออกนำในท้ายครึ่งแรก
ด้วยสกอร์ที่ยังคงไม่มีประตูเกิดขึ้น หลายคนมองว่าโอกาสยังคงเปิดกว้าง แต่สิ่งที่ นูโน่ เตรียมมาตลอด 45 นาทีแรกเริ่มมีผลสัมฤทธิ์ หนึ่งในนั้นคือความมั่นใจของนักเตะหมาป่าที่เพิ่มสูง ซึ่งตอนนั้นพวกเขาคิดว่าทีมมีโอกาสเล่นงานทีมดังจาก แมนเชสเตอร์
หลักฐานชัดเจนคือรูปเกมที่เปลี่ยนไป วูล์ฟส์ เริ่มกล้าที่จะเปิดเกมรุกมากขึ้นด้วยการคุกคามทั้งด้านกว้างและตรงกลาง ซึ่งเกือบจะได้เฮ 2-3 ครั้ง แต่ตอนนั้นยังมี เซร์คิโอ โรเมโร่ งัดซูเปอร์เซฟปัดป้องบอลออกไปได้
จนท้ายที่สุดทำนบของ ผีแดง ก็ต้องพังทลาย ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ไม่น่าจะเสีย (จากมุมมองของผู้เขียน) เพราะมีนักเตะสวมชุดสีแดงมากมายอยู่ในกรอบเขตโทษแต่ดันปล่อยให้ ราอูล ฮีเมเนซ แหวกมาแบบนั้น แล้วดันดวงซวยบอลไปโดน ป็อกบา ที่กลายเป็นตั้งให้กองหน้าเม็กซิกันหมุนตัวหวดด้วยขวาเข้าไป
ถึงจุดนั้นความมั่นใจของ วูล์ฟส์ พุ่งสูง สีหน้านักเตะเจ้าบ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และมันทำให้พวกเขากลับไปเล่นในเกมที่ถนัดนั่นคือรอจังหวะโต้กลับ และมันก็นำมาซึ่งประตูที่สองของพวกเขา
จังหวะนั้น ลุค ชอว์ ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ และต้องชมการเล่นของ ดีโอโก้ โชต้า ที่ลากดึงจังหวะจนได้เปรียบแล้วใส่สกอร์ด้วยซ้าย
สถานการณ์ตรงนั้นแทบจะหมดหวังสำหรับ ปิศาจแดง แม้ทีมจะขึ้นชื่อเรื่องการ 'คัมแบ็ก' และตายยาก แต่หากพิจารณาจากผลงานและฟอร์มตลอดช่วง 70 กว่านาที แฟนบอลก็แทบก็ปิดโทรทัศน์นอนกันได้เลย
ไม่ใช่ไม่เชื่อว่า ผีแดง จะกลับมาไม่ได้ แต่หลักฐานตรงหน้ามันฟ้องทนโท่ว่าเป็นเช่นนั้น ถึงจะพยายามสักเพียงใด แต่ในวันที่อะไรๆไม่เป็นใจ ทุกอย่างไม่เข้าทางและเป็นไปตามที่ใจหวัง ผลมันก็ออกมาอย่างที่เห็น
ท้ายเกม ยูไนเต็ด พยายามเปิดเกมสู้ประตูที่เกิดขึ้นก็มาในเวลาที่แทบจะไม่เหลือ และนั่นคือจังหวะสุดท้ายในเวที เอฟเอ คัพ ซีซั่นนี้ ...
... คนที่น่าจะผิดหวังที่สุดคงหนีไม่พ้น โซลชา ที่ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ชัดเจน
อันนี้ต้องยกมือเห็นด้วยกับคำสัมภาษณ์ที่กุนซือชาวนอร์เวย์ให้ไว้หลังจบเกมว่านี่เป็นที่ ปิศาจแดง ในยุคของเขาเล่นได้ "แย่" ที่สุด
แต่ฟุตบอลก็เป็นเช่นนี้ บางวันที่เล่นดีทีมก็อาจจะไม่ชนะ ผิดกับบางวันที่เล่นแย่ไม่เข้าฟอร์มแต่กลับเอาชนะออกมาได้ แต่เกมล่าสุดทั้งเล่นแย่และผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง มันจึงทำให้เป็นวันที่หม่นหมองของ โซลชา
เส้นทางที่สวยงามต้องมาชะงักด้วยความปราชัย 2 เกมติดต่อกัน
หากมองในแง่ดีแบบโลกสวยที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพราะหลังจากนี้จะเป็นช่วงพักเบรกทีมชาติให้นักเตะบางรายได้หายใจหายคอ รวมไปถึงบรรดาแข้งทีมชาติที่จะได้ออกไปหาบรรยากาศใหม่ๆ หลังจากต้องกรำศึกหนักกับสโมสรมานานหลายเดือน
พวกที่มีปัญหาบาดเจ็บก็จะได้เวลาพักฟื้นเต็มที่ แข้งที่ยังไม่ฟิตเต็มถังก็จะได้มีเวลาเติมพลังและเสริมแกร่งให้กับร่างกาย
กระนั้นหากมองในแง่ลบ ... หรือว่านี่จะเป็น 'ของจริง' ตามที่ใครหลายคนพูดเอาไว้ตั้งแต่ตอน โซลชา รับงานใหม่ๆ (ว่ายังไม่เจอของจริง)
อืม ... ใครจะมองมุมไหนอันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของคนๆนั้น แต่สำหรับ โซลชา เขาเชื่อว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะได้มีเวลาได้หยุดพักไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือนักเตะหลังการปราชัย 2 นัดซ้อน ...
... ถ้วยที่น่าจะหวังได้มากที่สุดหลุดลอยหายไป
ทว่าเส้นทางในฤดูกาลนี้ยังคงทอดยาวและมีงานให้ทำกันต่อไป แม้ว่าโอกาสใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะถูกมองว่าน้อยนิด และเป็นไปได้ยาก แต่ ปิศาจแดง ก็ต้องลงสนามและไปพิสูจน์ด้วยฝีเท้าของตนเองว่าสมควรได้ไปต่อหรือไม่
รวมไปถึงเส้นทางการลุ้น 'ท็อป 4' ที่ยังต้องต่อสู้ไปจนหยดสุดท้าย ซึ่งนั่นคือภารกิจสำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่
ณ จุดนี้ ต้องปล่อยให้นักเตะบางส่วนออกไปทำหน้าที่กับทีมชาติและให้บางส่วนได้พักผ่อน และหลังจากนั้นก็ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งกับโปแกรมหฤโหดที่กำลังรออยู่ข้างหน้า
ขวากหนามที่ขวางหน้าคืออุปสรรคที่ต้องก้าวผ่าน ล้มลุกคลุกคลานบ้าง, เปรอะเปื้อนบ้าง หรือบางทีอาจจะเจ็บเพราะได้แผลฉกรรจ์ แต่นั่นคือเส้นทางที่ต้องเผชิญ
หากไม่เจอกับอุปสรรคก็คงไม่มีทางเติบโต ฟุตบอลก็เช่นกัน ที่มีทั้งผิดหวัง สมหวัง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับและมีชีวิตกับมันให้ได้
ไม่ต่างไปจากความฝันที่ยังคงทอแสงอยู่ตรงหน้า แม้อาจจะริบหรี่และ (อาจจะ) ถูกมองว่าฝันเฟื่อง, เพ้อฝัน (และอาจจะฝันเปียก) แต่ความฝันที่แหละที่เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้ทุกคนก้าวเดิน
โค้งสุดท้ายในฤดูกาล 2018/19 กับสองภารกิจที่เหลืออยู่ ซึ่ง 1 เดือนต่อจากนี้เราคงเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นว่าซีซั่นนี้ ปิศาจแดง จะจบลงเช่นไร
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT