:::     :::

ยอมรับความจริง

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2562 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
2,093
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความปราชัยที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในนัดล่าสุดนอกจากเป็นการส่งอริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นไปรั้งจ่าฝูง มันยังแสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นระหว่าง 2 สโมสร ที่นับวันยิ่งห่างไกลกันมากขึ้น

จากทีมถูกมองว่าเป็นลูกไล่มาตลอดศก มาวันนี้ เรือใยสีบ้า สามารถเคลมได้แล้วว่าพวกเขาคือเบอร์ 1 ของ แมนเชสเตอร์ (และอาจจะของอังกฤษ)

นับตั้งแต่การเข้ามาของกลุ่มทุนจาก อาบู ดาบี และ ชีค มานซูร์ บิน ซาเย็ด อัล นาห์ยาน รวมไปถึงทีมงานที่มาบริหาร 'ซิตี้' ค่อยปรับปรุงจากทีมที่ไม่มีอะไร กลายมาเป็นสโมสรชั้นนำที่อุดมไปด้วยนักเตะ, โค้ช, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมไปถึงปัจจัยโดยรอบที่พัฒนาให้พวกเขามาจนถึงทุกวันนี้

แผนงานที่ชัดเจน การพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่องและมีแบบแผน จึงไม่แปลกใจที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวมาเป็น 1 ในยอดทีมของยุโรป

ต่างจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อาจจะทุ่มเงินมหาศาลในตลาดนักเตะเช่นกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับต่างกันชัดเจน มีบ้างที่อาจจะประสบความสำเร็จหลังยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กระนั้นเป้าหมายหลักอย่างแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ห่างไกล (ฤดูกาลที่แล้วใกล้เคียงสุดแต่ก็ยังห่างชั้นกับ ซิตี้ อยู่ดี)

การดำเนินงาน ปิศาจแดง ดูเหมือนการหว่านแหลงตลาดนักเตะ บางครั้งพวกเขาทุ่มเงินมหาศาลลงไปแต่กลับได้นักเตะที่ไม่ตอบโจทย์และไม่สามารถเข้ามาสร้างผลกระทบที่ควรจะเป็น หรือพูดง่ายๆ คือเข้ามาแล้วขับเคลื่อนทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากนำไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่ครั้งหนึ่งถูกกล่าวเป็น 'พวกน่ารำคาญ' แต่วันนี้พวกเขาเหล่านั้นกลับรุดหน้าไปไกลกว่าหลายช่วงตัว




ไม่ต่างไปจากอริไม่เผาผีอีกทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่พัฒนามาจนถึงจุดนี้ซึ่งมาจากการยอมทุบคลังของพวกเขาทุ่มเงินคว้านักเตะมาร่วมทีมในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

เจอร์เก้น คล็อปป์ เกาได้ถูกที่คันมาก เขาจัดการแนวรับด้วยการดึงสองนักเตะอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อาลีสซง เบ็คเกอร์ เข้ามา แม้จะโดนตราหน้าในตอนแรกว่า 'โง่' ที่ยอมทุ่มเงินขนาดนั้น แต่ผลงานและผลลัพธ์ที่ออกมาพิสูจน์แล้วว่า คล็อปป์ คิดถูก

หลักฐานมันฟ้องชัดเจนถึงฟอร์มการเล่นที่ดีและดุดัน รวมไปถึงสามารถต่อกรกับทีมใหญ่ได้แบบสบายๆ และที่สำคัญคือพวกเขาไม่พลาดให้กับทีมเล็กๆอีกต่อไป

นั่นคือความห่างชั้นระหว่าง ปิศาจแดง และสองสโมสรอริที่ตอนนี้กลับต้องมาแย่งแชมป์กันเองปล่อยให้ อดีตทีมใหญ่อย่าง ยูไนเต็ด มองตาปริบๆ และต้องมานั่งกัดฟันเจ็บแค้นอยู่ในใจ

หากมองในความเป็นจริงแล้วก็คงต้องยอมรับว่าแผนการดำเนินงานของบริหารทั้ง ซิตี้ และ หงส์แดง มีความชัดเจน และพวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า ปิศาจแดง

นั่นคือสิ่งที่แฟนบอลและสโมสรต้องยอมรับ และนำความผิดพลาดและผิดหวังตรงนั้นมาแก้ไข

แน่นอนมันไม่ได้แก้กันได้ในทันทีทันใด มันต้องใช้เวลาและความอดทน แต่มันต้องมีความรวดเร็วและเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา



โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คือคนที่บอร์ดบริหารเลือก จากผลงานช่วงรั้งตำแหน่งรักษาการที่พาทีมเดินหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม (แม้ผลงานพลิกกลับตาลปัตรในช่วงนี้) งานสำคัญของ 'โอเล่' คือการเจรจากับบอร์ดบริหารถึงทิศทางการทำงานของเขาในซีซั่นต่อไป สิ่งนี้สำคัญมากเพราะมันเหมือนกันกำหนดทิศทางของทีมว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหน

ทีมที่กุนซือต้องการ นักเตะที่ต้องย้ายเข้ามา รวมไปถึงนักเตะที่ต้องย้ายออกไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องการซ้อม การวางแผนเดินสายในช่วงพรี-ซีซั่น หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ต้องวางแผนให้ชัดเจน

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากช่วงที่ผ่านมาระหว่าง ผีแดง กับ ซิตี้ และ หงส์แดง คือการบ้านหลักและงานสำคัญที่สโมสรต้องลดช่องว่างลงให้ได้

ตอนนี้เราต้องยอมรับสภาพที่ว่าเราเป็นฝ่ายตามหลังและต้องไล่ตาม 2 ทีมอริเหล่านี้ให้ได้ 

อย่างที่ โซลชา ย้ำเสมอในการแถลงข่าว มันเป็นงานที่เขาต้องทำเป็นอับแรกคือการลดช่องว่างกับทีมหัวตาราง และพัฒนาทีมของตนเองให้กลับไปเล่นแบบมีเอกลักษณ์อย่างที่ควรจะเป็น

อัตลักษณ์คือสิ่งสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเราคือสโมสรที่เล่นฟุตบอลสนุก เล่นด้วยใจ เล่นเพื่อแฟนบอลที่ให้กำลังใจ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ ปิศาจแดง ตนนี้เป็นที่รู้จักจากสไตล์ที่เป็นเฉพาะ

ขอยกคำกล่าวของ ฟิล เนวิลล์ อดีตนักเตะสารพัดประโยชน์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาให้อ่านซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ที่ให้กับ บีอิน สปอร์ตส์ เมื่อวันเดือนมกราคมที่ผ่านมา

"จริงๆแล้ว แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้คิดเกี่ยวกับการคว้าชัย สิ่งแรกที่พวกเขาต้องการคือความตื่นเล่น เขา (โซลชา) นำสิ่งนั้นกลับมา ใช่ คุณต้องคว้าชัยแต่ก็ต้องคว้าชัยด้วยคุณภาพและรูปแบบที่ชัดเจน"




สนุก เอนเตอร์เทน เร้าใจ และเอาชนะอย่างมีสไตล์ นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

สิ่งเหล่านี้คืองานที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องมานั่งถกกับทีมงานว่าจำกำหนดทิศทางทีมของเขาให้เป็นไปในทิศทางไหน ซึ่งปัจจัยสำคัญนั่นคงหนีไม่พ้นนักเตะ โดยเฉพาะ ปอล ป็อกบา

นี่คือโจทย์สำคัญ เพราะ โซลชา ย้ำเสมอว่าต้องการทำทีมที่มีกองกลางชาวฝรั่งเศสรายนี้เป็นศูนย์กลาง ซึ่งหาก โอเล่ ยังคงยึดมั่นเช่นนั้นสิ่งสำคัญคือเขาต้องหา 'ลูกหาบ' มาให้ ป็อกบา ให้ได้

ความแตกต่างของผลงานในทัพปิศาจแดงช่วงที่ผ่านมาคือการขาดหายไปของ อันเดร์ เอร์เรร่า เพราะนี่คือ'ลูกหาบ' ชั้นดี ที่คอยช่วยงาน ป็อกบา ให้มีอิสระในการเล่นเกมรุกอย่างเต็มที่

สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ดีตั้งแต่สมัยเล่นให้กับ ยูเวนตุส ที่ตอนนั้น ป็อกบา มีมดงานอย่าง อาร์ตูโร่ วิดาล และ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ คอยช่วย รวมไปถึงมีรุ่นใหญ่อย่าง อันเดรีย ปีร์โล่ คอยสนับสนุน

หรือจะในทีมชาติฝรั่งเศสที่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คอยวิ่งพล่านทั่วสนาม นั่นทำให้ ป็อกบา สามารถเฉิดฉายและทำงานของตนเองได้เต็มที่

ที่ ยูไนเต็ด ... งานของ เอร์เรร่า คือการหนุนหลัง ป็อกบาและคอบเก็บกวาดความผิดพลาด รวมไปถึงการช่วยแนวรับไม่ให้เจองานหนักจนเกินไป แต่เมื่อกองกลางชาวสเปนหายหน้าไปจากสนามแข่ง เราจึงเห็นถึงผลงานที่ตกลงไปของ ป็อกบา ซึ่งมันส่งผลเป็นวางกว้างภายในทีมอย่างชัดเจน

แนวรุกที่ประสิทธิภาพลดลง

แนวรับที่เสียประตูง่าย

การเดินเกมที่สะเปะสะปะ ไม่เป็นทรง

นั่นเกิดขึ้นมาจากการหายไปของ เอร์เรร่า 

สิ่งสำคัญคืออนาคตของกองกลางรายนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะสัญญาใกล้จะหมดและยังมีทีท่าว่าการเจรจาจะไม่รุดหน้าแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดแล้วหากสโมสรจำต้องแยกทางกับ เอร์เรร่า ไปจริงๆ นี่จะเป็นงานชิ้นแรกและชิ้นสำคัญของทีมงานสรรหานักเตะที่ต้องดึงกองกลางประเภทนี้มาใช้งานร่วมกับ ป็อกบา

(แฟนบอลบางคนอาจจะยกมือสนับสนุน สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ให้ทำหน้าที่นี้ แต่ในความเห็นส่วนตัวมองว่ารูปแบบการเล่นของลูกหม้อรายนี้ไม่ใช่กองกลางตัวรับเต็มที่แบบ เอร์เรร่า เพราะ 'แม็คโท' เหมาะจะเป็นตัวเชื่อมเกมแทนที่ มาติช มากกว่า)

กองกลางประเภทที่กัดไม่ปล่อยวิ่งไม่มีหมดและสามารถทำงานสกปรกให้กับทีมได้แบบไม่เคอะเขินและไม่ปริปากบ่น ...


... ฤดูกาลนี้กำลังจะจบลงไป พร้อมกับความว่างเปล่าอีกครั้งของสโมสร อาจจะมีเพียงการลุ้น 'ท็อป 4' ที่ทำให้ทำใจของแฟนบอลได้สูบฉีดในอีก 3 เกม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ควรจะเป็น 

แต่จะทำอะไรได้ ในเมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมาสโมสรถดถอยลงไปจนมาอยู่ในระดับนี้และได้แต่นั่งมองให้สองคู่แค้นสำคัญไล่ล่าแย่งแชมป์กันในซีซั่นนี้

มันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ มันเป็นความจริงที่ขมขื่น และเราต้องนำเอาความเจ็บช้ำตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดัน

หวังว่าบอร์ดบริหารของสโมสรจะเห็นในเรื่องนั้น และยอมปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ฤดูกาลต่อไปจะเป็นภารกิจสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาพร้อมกลับมาแล้วหรือยังที่จะเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง หรือว่ายังจะพายเรือในอ่างเหมือนเดิมและสาวะวนกับเรื่องเดิมๆไม่รู้จบ

ยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และเดินหน้าปรับปรุง นั่นคือสิ่งง่ายๆ แต่บางครั้งกลับนำมาปฏิบัติได้ยากยิ่ง

ลดอีโก้ ลืมอดีต มองปัจจุบัน และกำหนดทิศทางอนาคต หากทำได้เชื่อว่า ปิศาจแดง ตนนี้พร้อมกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด