ในวันที่ขาด'ลูกพี่'
ในส่วนของตลาดนักเตะถือว่าเป็นปัญหาคาราคาซังมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กว่าจะได้เป้าหมายที่เล็งไว้ต้องเจรจาแล้วเจรจาอีก บางรายโดนโขกค่าตัวเกินจริง บางรายก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนานแบบใช่เหตุ
โดยเฉพาะหน้าร้อนนี้ที่เพิ่งได้มาแค่คนเดียว ส่วนที่ตกเป็นข่าวก็ 'จ่อแล้วจ่ออีก' แต่ก็ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทาง แถมราคาที่อาจจะจ่ายไปก็แพงเกินความเป็นจริง
แม้ทีมอื่นๆยังไม่เดินหน้าแบบเต็มกำลัง แต่ก็เข้าใจหัวอกและความรู้สึกแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะฤดูกาลที่ผ่านมาทีมต้อง 'มือเปล่า' แถมผลงานในสนามก็น่ากุมขมับอย่างมาก
จึงไม่แปลกใจที่แฟนบอลต่างคาดหวังว่าสโมสรจะมีการทุ่มทุนดึงแข้งใหม่เข้ามาสู่ทีมเพื่อให้มากระตุ้นนักเตะเก่าๆและช่วยเพิ่มศักยภาพในทีมให้ดีกว่าซีซั่นที่แล้ว
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังได้มาเพียงแค่คนเดียว
ตอนนี้เหลือเวลาเดือนเศษหรือนับง่ายๆคือก่อนศึกพรีเมียร์ลีกจะเปิดฤดูกาลในวันที่ 9 สิงหาคมนี้
เรื่องตลาดนักเตะที่ว่าปวดหัวแล้ว ยังมีเรื่องของ เจสซี่ ลินการ์ด ที่ดันทำพฤติกรรมไม่สมเป็นฟุตบอลอาชีพ และเป็นพฤติกรรมเหมือนคนที่คิดไม่ได้แม้ว่าอายุอานามจะมากขึ้นและไม่ใช่ดาวรุ่งอีกต่อไป
เข้าใจว่าทำไปเพราะความสนุกขำขันกับเพื่อนๆ แต่เขาอาจจะลืมไปว่าตนเองต้องแบกชื่อเสียงของสโมสรเอาไว้ ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหนก็ต้องพึงระวังกับพฤติกรรมด้านลบที่อาจจะแสดงออกมาได้ทุกขณะ
ยิ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล อะไรๆก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ซึ่งภาพและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกส่งต่อไปทั่วโลก แถมมีข่าวว่าบอร์ดบริหารและตัว โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต่างเดือดปุดๆ และคงต้อง 'เคลียร์' กับแข้งรายนี้หลังจากกลับไปรายงานตัวกับสโมสรในช่วงต้นเดือนหน้า
เรื่องที่เกิดขึ้น ลินการ์ด เข้าใจว่าเป็นความคึกคะนองของวัยรุ่นยามอยู่กับเพื่อนๆและขาดการยั้งคิด แต่ก็อดคิดต่อไปไม่ได้ว่าหากเขาเกิดทันในยุคนักเตะอย่าง ไบรอัน ร็อบสัน, สตีฟ บรู๊ซ, รอย คีน หรือแม้แต่ แกรี่ เนวิลล์ แข้งทีมชาติอังกฤษคนนี้จะโดนพวกรุ่นพี่เฉ่งยับแค่ไหนหรือเรียกมาปรับทัศนคติมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงหากตอนนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังอยู่เขาคงโดนจัดหนักไปเรียบร้อยแล้ว
นี่อาจจะเป็นปัญหาที่สั่งสมมานานจนทำให้ ปิศาจแดง ในยุคที่ผ่านมาๆไม่มีผู้นำตัวจริงมั้งในและนอกสนาม
หากนับตั้งแต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคทวงความยิ่งใหญ่ เฟอร์กี้ มี ร็อบสัน เป็นกัปตันทีมคู่ใจที่ฟันฝ่าช่วงเวลาที่ย่ำมาจนกลายมาเป็นยอดทีมของอังกฤษ
ยุคนั้นนักฟุตบอลต่างทุ่มเทแรงกายในสนามอย่างเต็มกำลัง พร้อมถวายแรงกายและจิตใจเพื่อใส่ลงไปในสนามทุกๆนาที
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ รอย คีน ได้กล่าวถึงบรรดาซีเนียร์หรือลูกพี่ในทีมอย่าง ร็อบสัน, บรู๊ซ, พัลลิสเตอร์ หรือแม้แต่ คันโตน่า เอาไว้เสมอว่าพวกเขาเหล่านี้จะเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องนำไปปฏิบัติตามเสมอ
ในสนามบรรดาแข้งอาวุโสจะทำหน้าที่นำหน้ารุ่นน้องลงไปห้ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามและพร้อมเปิดหน้าปกป้องลูกทีมอย่างเต็มที่ไม่มีตะขิดตะขวงใจ และพร้อมผลักดันเด็กๆให้เดินไปพร้อมกัน
นอกสนามพวกเขาคือผู้นำในการพาน้องๆไปสังสรรค์ (เมาหัวราน้ำ) เปิดหูเปิดตา และรับผิดชอบดูแลในกรอบที่เหมาะสม ซึ่งนั่นทำให้ความสัมพันธ์ในทีมของยุคเฟอร์กี้แนบแน่นและเข้าใจกันและกัน
แน่นอน เฟอร์กี้ ไม่เห็นด้วยที่นักเตะออกไปเมาและเที่ยวเตร่ตามผับบาร์และเป็นเป้าของนักข่าวได้ง่าย แต่แข้งเหล่านี้กลับตอบแทนด้วยผลงานในสนามที่ยอดเยี่ยม และทุ่มเทในการซ้อมอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะ ร็อบสัน ที่จะเมามากแค่ไหน แต่ ‘คีโน่’ เผยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้า เฟอร์กี้ หรือนักเตะรุ่นน้องในทีมเขาจะแสดงความยอดเยี่ยมออกมาให้ทุกคนได้เห็นทั้งในการซ้อมและลงแข่ง
สิ่งเหล่านี้ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น จากแข้งอาวุโสที่ส่งไม่ต่อไปยังแข้งหนุ่มในทีม มันวนเวียนเช่นนั้นมานานหลายปี ไม่ต่างไปจากเป็นการสืบทอดของตำแหน่งกัปตันทีมที่ยอดเยี่ยมและบุคลิกที่จำเป็นสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ปิศาจแดง ไม่เคยขาดกัปตันทีมที่ลักษณะเป็นผู้นำและน่ายำเกรง ร็อบสัน - บรู๊ซ - ก็องโต้ - คีโน่, แกรี่ เนวิลล์, เนมานย่า วิดิช หรือแม้แต่ เวย์น รูนี่ย์
พวกเขาเหล่านี้ต่างมีรัศมีของความสง่างามยามลงสนาม ความดุดัน ขึงขัง และทุ่มเทอย่างเต็มเพื่อสโมสรและพร้อมผลักดันปกป้องลูกทีมให้เดินหน้าเพื่อเป้าหมายแห่งชัยชนะและความสำเร็จ
แต่ทุกวันนี้ตำแหน่งดังกล่าวไร้ซึ่งมนต์ขลังและน่าเกรงขาม ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายสิ่งเลยผันเปลี่ยนตามไปด้วย
ภาพกัปตันทีมจอมบู๊เอาตัวเข้าแลก เข้าไปปกป้องลูกทีมยามโดนกระทำ หรือพยายามช่วยเหลือยามที่ลูกน้องเจอปัญหา ... สิ่งเหล่านี้เริ่มหายไปจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด
นี่คือสิ่งที่ ปิศาจแดง ต้องตามหา นอกจากการดึงนักเตะที่มีฝีเท้า มีความทะเยอทะยาน และทุ่มเทให้สโมสร พวกเขาต้องหาคนที่มีบุคลิกดุดัน พร้อมแลก พร้อมชน พร้อมปะทะตลอดทั้งเกม และที่สำคัญพร้อมคุมนักเตะที่ออกนอกลู่นอกทางให้กลับมาทำเพื่อสโมสร
น่าสนใจกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางคนบอกว่าสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันเอาแค่เฉพาะปัจจัยโดยรอบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ใช่ ... ปัจจัยภายนอกในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แต่นั่นก็ไม่สามารถเป็นข้ออ้างให้นักเตะออกนอกทางและเสียสมาธิได้
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด สิ่งที่สำคัญของนักฟุตบอลคือการทำงานอย่างเต็มกำลัง มุ่งมั่นเพื่อสโมสรอย่างเต็มที่ และทุ่มเทเพื่อเสื้อที่พวกเขากำลังสวมใส่ ยังรวมไปถึงการวางตัวที่ต้องถูกกาลเทศะและเหมาะสม นั่นคือสิ่งที่จะทำให้นักเตะเหล่านั้นเป็นที่เคารพและยืดอายุในเส้นทางแห่งนี้ได้นานขึ้น
มองว่ามันคืออีกหนึ่งการบ้านที่ ปิศาจแดง ต้องกลับมาคิดอีกครั้งนอกจากการหานักเตะฝีเท้าดีแล้ว บุคลิกความเป็นผู้นำก็สำคัญไม่แพ้กัน นักเตะที่จะเดินนำหน้าลูกทีมลงสนามด้วยความมุ่งมั่น ไม่เกรงกลัว และเป็นเกราะป้องกันให้ทุกๆคน
นักเตะที่พร้อมจะดูแลลูกทีมและคอยชี้แนะเรื่องที่ถูกต้องให้คนที่เริ่มจะออกนอกทาง ทั้งยังเตือนสติว่าพวกเขากำลังเล่นให้กับสโมสรที่มีเกียรติ
มองไปยังทีมชุดนี้ สารภาพว่า ... ไม่มีสักรายเดียว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT