สิ่งที่น่ากังวล
"เตี้ยลง สาละวันเตี้ยลง
เตี้ยลง สาละวันเตี้ยลง
เตี้ยลงหน่อย สา ละวัน เอ๊ย..."
แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคนได้แต่ก้มหน้ากัดฟันเก็บความกลัดกลุ้มไว้ภายในใจกับการปราชัยในนัดที่ผ่านมา
สถิติทุกอย่างเหนือกว่าชัดเจน 30 นาทีแรกกด คริสตัล พาเลซ ชนิดที่แทบไม่ได้บุกแต่กลับมาโดนจังหวะโป้งเดียวจอดของ จอร์แดน อายิว ซึ่งจ้องชม เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ ที่กะจังหวะได้ดีกว่า วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ก่อนจะลอยตัวโขกเช็ดให้กองหน้ากานาหลุดเข้าไปล่อเป้า
จังหวะเสียประตูแรก ลินเดเลิฟ ต้องรับไปแบบเต็มๆ ชนิดไร้ข้อแก้ตัวด้วยประการทั้งปวง ไม่เว้นแม้แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ออกมาตำหนิการป้องกันว่าทำได้ 'แย่มาก' เพราะจังหวะที่เกิดขึ้นกองหลังควรที่จะอาศัยความได้เปรียบเรื่องรูปร่างสกัดบอลพ้นอันตรายออกไปได้
ประตูที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้สกอร์ ปิศาจแดง ตามหลัง แต่มันกลับขโมยความมั่นใจตลอดช่วง 30 นาทีแรกให้ค่อยๆมลายหายไป ซึ่งเหมือนกับว่ามันค่อยๆถูกดูดไปยังฝั่งทีมเยือนทีละน้อย
ทุกคนที่ชมการถ่ายทอดสดคงเห็นชัดเจน หลังจากที่ พาเลซ ออกนำ พวกเขาเริ่มเล่นอย่างมั่นใจขึ้นแดนกลางผสานกับแนวรับได้แข็งแกร่งปิดการเข้าทำของ ผีแดง ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมไปถึงแนวรุกที่ค่อยๆคายพิษสงออกมา ค่อยๆสร้างความลำบากใจและหงุดหงิดให้กับแข้งปิศาจแดง
ผิดกับนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่กลับไปเข้าอีหรอบเดิมได้แต่ครองเกมเข้าหาแต่พอถึงจังหวะจบสกอร์หรือเข้าทำจังหวะสุดท้ายดันไร้จินตนาการและหาช่องได้สับไกแบบเน้นๆ
ภาพเหล่านี้มันย้อนกลับไปถึงช่วงปลายซีซั่นที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่นั้นมันทำให้แฟนบอลลืมภาพจากช่วงพรี-ซีซั่นไปเสียสนิท กับผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อยอดมาถึงเกมถล่มเอาชนะ เชลซี
แฟนบอลหลายคนมีความหวังกับ ผีแดง รูปแบบใหม่ แต่มันเหมือนกับการโดนหลอกให้ฝันหวานพลัยเมื่อความจริงปรากฏทุกคนก็กระจ่างว่ามันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก
แน่นอน ... เกมแรกเอาชนะ เชลซี 4-0 อย่างสวยงาม สกอร์มันไม่ได้โกหก แต่หากดูที่รายละเอียดเกมแล้วต้องบอกว่า ปิศาจแดง เป็นรองชัดเจน แต่ที่ทำให้สกอร์ขาดลอยเพราะมาจากความผิดพลาดในแนวรับของ สิงโตน้ำเงินคราม และจังหวะสวนกลับที่มีประสิทธิภาพ
ในเกมที่ออกไปเยือน โมลีนิวซ์ อาจจะดีขึ้นในส่วนของรายละเอียดการเล่นที่ชัดเจนและมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเกมแรก แต่ทุกอย่างถูกขโมยซีนไปจนหมดจากจังหวะพลาดจุดโทษของ ปอล ป็อกบา
มาจนถึงเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มันเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งแล้วว่า ผีแดง ภายใต้การนำของ โซลชา มีปัญหาเสมอเมื่อถูกคู่แข่งออกนำไปก่อน
ปัญหานี้มันสะสมมาตั้งแต่ซีซั่นที่ผ่านมา แข้งผีแดงชุดนี้มีปัญหาเสมอเมื่อโดนสอยตาข่ายออกนำไปก่อน ซึ่งหากจำผิดมีเพียงเกมแซงชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน เท่านั้นที่พวกเขากลับมาได้
เรื่องนี้มันบ่งบอกได้ถึงสภาพจิตใจของนักเตะอย่างชัดเจนว่ายังไม่แกร่งพอและยังไม่สามารถรับมือกับความกดดันเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะคุณสมบัติของการเป็นทีมหัวแถวของลีกที่ต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้
บางครั้งรูปเกมดีกว่ามาก กดดันฝ่ายตรงข้ามแบบโงหัวไม่ขึ้น แต่ทันใดนั้นต้องโดนสอยตาข่ายไปก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกทีมเพราะฟุตบอลในปัจจุบันความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจจะหมายถึงการเสียประตูให้ฝ่ายตรงข้าม
แต่สิ่งที่ทำให้ทีมหัวแถวยกระดับเหนือกว่าทีมอื่นๆในลีก (หรือในยุโรป) หรือสภาพจิตใจที่พวกเขายังคงมั่นคงและแน่วแน่ว่าจะสามารถเอาคืนมาได้อย่างแน่นอน สิ่งนี้ (สภาพจิตใจ) คือเรื่องสำคัญที่จะส่งผลไปยังความมั่นใจ การเล่นในสนาม และมันจะกระจายไปยังทุกๆคนในทีม
นั่นคือหนึ่งในปัญหาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคปัจจุบัน ซึ่งรวมไปถึงแนวรุกที่ยังคง 'บ้อท่า' ไร้จินตนาการเมื่อมาเกมกับเกมที่โดนคู่แข่งรับลึก อาศัยแดนกลางเข้าไล่และใช้ลูกหนักเล่นงาน
พาเลซ ของ รอย ฮ็อดจ์สัน ลงสนามด้วยวิธีการง่ายๆคือเน้นรับโดยอาศัยแผงหลัง 4 รายที่ยืนปักหลักกับที่ และมีแดนกลาง 3 รายค่อยทำหน้าที่ยืนหน้าแนวรับอีกชั้น นอกจากนั้นบรรดาแนวรุกยังคงมาช่วยเกมริมเส้นและไล่บอลในแดนตนเอง
พวกเขาจวนเจียนจะเสียประตูโดยจังหวะที่น่าจะโดนที่สุดคงเป็นลูกที่ แดเนี่ยล เจมส์ ยิงไปติด แพทริค ฟาน อานโฮลท์ ออกไป
ทว่าเมื่อรอดพ้นจังหวะอันตรายมาได้พวกเขาก็เริ่มมั่นใจทีละน้อยจนมาอาศัยจังหวะฉาบฉวยด้วยการเล่นเพียง 2 จังหวะแล้วมาได้ประตูออกนำชนิดที่แฟนบอลใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด (และทางบ้าน) ได้แต่ตกตะลึง
มันเป็นจังหวะง่ายๆบอลสาดยาวขึ้นมาแล้วมีตัวโขกเช็ดให้กองหน้าที่อาศัยจังหวะแนวรับอยู่ห่างกันหลุดเข้าไปยิง
สกอร์ที่เกิดขึ้นทำให้ ปิศาจแดง ต้องเดินหน้าบุกอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อทำประตูตีเสมอให้เร็วที่สุด บรรดาแนวรุกต่างพยายามสร้างโอกาสในการเข้าทำแต่ก็อย่างที่เห็น บีเซนเต้ ไกวต้า แทบจะไม่ต้องออกแรงป้องกันเลย แม้แต่ลูกจุดโทษของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยังมีเสาประตูมาช่วย
สำหรับแฟนบอล ยูไนเต็ด ในเวลานั้นคงได้แต่กุมขมับและบ่นกับตนเองว่าวันนี้คงไม่ใช่วันของพวกเขา แม้จะตีเสมอในช่วงก่อนหมดเวลา 1 นาทีแต่เหมือนสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ท้ายที่สุดทีมต้องให้ทีมกลับออกมาด้วยความปราชัย 1-2
ความผิดหวังก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง คำถามต่างๆผุดออกมามากมายหลังจบเกมล่าสุด โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาการของทีมที่ดูเหมือนว่าจะกลับมายังจุดเดิม
ช่วงพรี-ซีซั่นที่ยอดเยี่ยมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่นเดียวกับเกมเอาชนะ เชลซี เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ถูกทิ้งร้างไว้เป็นเพียงความทรงจำ
บางคนอาจจะกล่าวว่า 'นี่เพิ่งเกมที่ 3 อย่ารีบร้อนมาตัดสินใจหรือวิพากษ์วิจารณ์เลย'
เราอาจจะคิดเช่นนั้นก็ได้ แต่หากดูรูปเกมที่เกิดขึ้น 90 นาที ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องนำถกและดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะแนวรุกที่ไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับฝ่ายตรงข้ามได้แบบจริงๆจังๆ
แนวรุกปิศาจแดงชุดนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถสร้างปัญหาในจังหวะสวนกลับเร็วได้ดีซึ่งเห็นได้ชัดเจนในเกมถล่ม สิงโตน้ำเงินคราม รวมไปถึงการฉวยโอกาสตัดบอลเร็วเหมือนเกมที่ดวลกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน (เช่นเดียวกับประตูตีเสมอในนัดที่ผ่านมาที่ ป็อกบา ตัดบอลจาก วิลฟรีด ซาฮา) แต่คำถามสำคัญหลังจบเกมล่าสุดคือ 'แล้วหากเป็นการเจอกับทีมที่เน้นรับขึ้นมาล่ะพวกเขาจะทำเช่นไร?' ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนอาจจะเห็นได้จากนัดที่ผ่านมา
สถิติดีกว่าทุกอย่าง โอกาสยิง 22 ครั้ง (ตรงกรอบ 3) สร้างโอกาส 15 ครั้ง แต่ก็ขอถามอีกครั้งว่าคนที่ชมการถ่ายทอดสดจำได้หรือไม่นายด่านของ ดิ อีเกิ้ลส์ ต้องออกแรงป้องกันไปกี่ครั้ง
มันคือการบ้านชิ้นสำคัญของ โซลชา และทีมงานที่ต้องนำไปแก้ไขโดยเร็ว เพราะเชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาจะต้องเจอเกมแบบนี้อีกหลายนัดโดยเฉพาะการรับมือทีมกลางและท้ายตารางใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่พร้อมมาเล่นในลักษณะนี้กับพวกเขา
สิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องแก้โดยเร็วคือทิศทางหรือรูปแบบในการเข้าทำที่มีลักษณะและมิติที่หลากหลายกว่านี้ ทำอย่างไรที่จะรีดศักยภาพแนวรุกที่พวกเขามั่นใจนักหนาว่ามีคุณภาพให้สามารถทะลวงตาข่ายฝ่ายตรงข้ามได้ชนิดที่ไม่ต้องบีบหัวใจแฟนบอล
ที่สำคัญอีก 1 ประการหาก โซลชา จะยึดกับระบบ 4-2-3-1 เหมือนอย่างที่ใช้งานมาแล้ว 3 เกม เขาต้องพยายามรีดศักยภาพลูกรักอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด ให้ออกมามากกว่านี้ เพราะนอกจากจังหวะพาบอลในการเล่นเกมสวนกลับแล้ว ที่เหลือยังสอบตกโดยเฉพาะจินตนาการในการเข้าทำเมื่อฝ่ายตรงข้ามอยู่ในทรงที่กำลังตั้งรับ หรือการฉวยโอกาสของแข้งหมายเลข 14 รายนี้ที่ยังไม่ดีพอ
สิ่งเหล่านี้ต้องรีบแก้ไข เพราะหากจะไปหวังแค่ให้แนวรับจัดการปิดกั้นโอกาสฝ่ายตรงข้ามแล้วรอสวนกลับอย่างเดียว มันจะมีปัญหาในระยะยาวแน่นอนโดยเฉพาะการแย่งพื้นที่ ท็อป 4 ที่คงจะยากกว่าซีซั่นที่ผ่านมา
นอกจากนั้นต้องปรับปรุงการเล่นในรังให้ดุดันกว่านี้ เพราะหลายขวบปีที่ผ่านมา โอลด์ แทรฟฟอร์ด กลายสภาพจากสมรภูมิที่น่าหวั่นเกรงของฝ่ายตรงข้าม กลายมาเป็นสนามเด็กเล่นที่แต่ละทีมลงสนามและไม่มีความเกรงกลัว
ภาพของความน่าเกรงขาม มีมนต์ขลัง ค่อยๆหายไป จากสนามที่แต่ละทีมหวั่นเกรงว่าจะเสียแต้มตั้งแต่ยังไม่ได้ลงไปเหยียบผืนหญ้า ตอนนี้ทุกทีมเปลี่ยนความคิดแบบสิ้นเชิงพร้อมมองถึงโอกาสการเก็บแต้มออกมา (แบบไม่ยาก)
ส่วนแฟนบอลก็อาจจะไม่ต่างกัน ภาพจำของความดุดันยามเล่นในรัง ... 3 คะแนนที่มั่นใจว่าจะเก็บมาได้แบบไม่มีปัญหา หรือชัยชนะที่นอนรออยู่ตรงหน้าค่อยๆจากหายไปจากความทรงจำ
ทุกวันนี้ต้องลุ้นกันทีละนัดว่านักเตะจะเล่นได้ดีหรือไม่ หรือว่าจะแสดงความผิดพลาดอะไรออกมาให้เห็น สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นถึงความไม่แน่นอนในทีมอย่างชัดเจน
หากมองในมุมขำๆ ไม่คิดอะไรมากมายถือเป็นเรื่องที่ทำให้แฟนบอลได้สนุกและลุ้นไปทีละนัดว่าวันนี้เราจะได้เห็น ปิศาจแดง ในรูปแบบไหน
ทว่า ... หากเป็นคนที่ห่วงใยสโมสรย่อมกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมันแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่ตกไปอย่างน่าใจหายรวมไปถึงความสม่ำเสมอที่ยังสะเปะสะปะเอาแน่เอานอนไม่ได้
มันเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข เพราะหากยังนอนใจและให้มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันก็อาจจะสายเกินไปและต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะแก้ไขกลับมาให้เหมือนเดิม
เรื่องเล็กๆบางครั้งอาจจะดูไม่สำคัญ แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ว่าอาจจะบ่มเพราะจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ถึงตรงนี้อยู่ที่ผู้จัดการและโค้ชรวมไปถึงนักเตะแล้วว่าจะมองเห็นถึงจุดเล็กๆที่ว่าหรือไม่ และหากรีบแก้ไขในตอนนี้เชื่อว่ายังพอเหลือเวลาที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นกว่าเกมที่ผ่านมา
ด้วยความหวังดี ...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT