รายเดียวไม่พอ
ผ่านมา 1 เดือนมีเพียงนักเตะใหม่รายเดียวที่ถูกดึงเข้ามาเสริมทีมชุดใหญ่ นั่นคือ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ที่เข้ามาพร้อมกับสร้างความตื่นเต้น แต่มันยังไม่เติมเต็มความปรารถนาและความต้องการของสาวกปิศาจแดงทั่วโลก
ตอนนี้หลายๆ คนยังอยากเห็นนักเตะใหม่อีกราย (หรือมากกว่านั้น) มาเสริมทีมโดยด่วน โดยเฉพาะ เจดอน ซานโช่ ปีกขวาทีมชาติอังกฤษ ที่ยังคงเป็นเพียงข่าวลือตามสื่อซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีความคืบหน้าจากที่ผ่านๆ มามากนัก
ใครที่ติดตามข่าวของ ซานโช่ คงทราบดีว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ปักธงไว้ชัดเจนว่าต้องจ่ายในราคาที่พวกเขาวางไว้ นั่นคือไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่แพงมากในตลาดรอบนี้ เพราะแต่ละสโมสรต่างได้รับผกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้การใช้จ่ายเงินต้องคิดอย่างถี่ถ้วน
ยิ่งสถานการณ์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังส่งผลให้ต้องคิดลึกลงไปกว่านั้น โดยเฉพาะประเด็นการปล่อยส่วนเกินออกไป แม้จะมีชื่อของ อเล็กซิส ซานเชซ ที่โบกมือลาไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงการลดในส่วนของบัญชีค่าแรง แต่บัญชีรายรับรายจ่ายในตลาดซื้อขายยังคงเป็นเหมือน
การปล่อยนักเตะส่วนเกินออกไปคือเรื่องที่ต้องทำโดยด่วนเช่นเดียวกันเพื่อดึงเงินจากการขายนักเตะเอามาช่วยในการล่าตัวผู้เล่นที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการใช้งานในฤดูกาลถัดไป แต่ปัญหาสำคัญคือการตั้งค่าตัว เพราะมันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าราคาที่ ผีแดง ตั้งไว้คงจะโดนกดเต็มที่
ในกรณีของ คริส สมอลลิ่ง อาจจะแตกต่างกันไปเพราะมีโอกาสย้ายทีมสูงมาก ทว่าปัญหาสำคัญคือราคาที่ โรม่า เสนอมากลับไม่เป็นตามที่ ปิศาจแดง ต้องการ และยังคงอยู่ในการตอนยื้อยุดฉุดกระชากจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างกันในกรณี อันเดรียส เปเรยร่า กับ เจสซี่ ลินการ์ด สองมหาเทพของสาวกปิศาจแดง ยิ่งถือเป็นสองนักเตะที่ดูจะขายทอดตลาดได้ยาก และคงได้ราคาที่ไม่น่าพอใจหรือเป็นไปตามที่ทีมวางไว้แน่นอน แถน ผีแดง คงไปต่อรองเรียกราคาไม่ได้มาก
สิ่งเหล่านี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของทีมเจรจาซื้อขายที่ไม่เพียงจะล้าช้าในการดึงนักเตะมาเสริม แต่พวกเขากลับโดนตำหนิและวิจารณ์การทำงานเรื่องการขายทอดนักเตะออกสู่ตลอด เพราะที่ผ่านๆ มาพวกเขาทำได้อย่างน่าผิดหวังไม่ว่าจะเป็นกรณีของ มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน, เมมฟิส เดอปาย หรือแม้แต่ ดาเล่ย์ บลินด์ และ แซม จอห์นสตัน ที่ถูกมองว่าขายไปเหมือนให้ฟรี หรือขาดทุนอย่างมาก
นั่นเป็นปัญหาฝังรากลึกและเป็นจุดอ่อนสำคัญของทีมงานสรรหานักเตะจากค่าย โอลด์ แทรฟฟอร์ด และยิ่งตอนนี้ทีมต้องการงบประมาณเพิ่มเติม ส่งผลให้เรื่องดังกล่าวจะถูกจับตามองอีกครั้ง
ตามรายงานจาก ซามูเอล ลัคเฮิร์สต์ ผู้สื่อข่าวของ แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ที่ติดตามปิศาจแดงและรู้จักสโมสรนี้เป็นอย่างดี ระบุว่าในแต่ละปี ยูไนเต็ด จะมีงบประมาณเสริมทีม 150 ล้านปอนด์ (เรื่องนี้ แซม ยืนยันมาตั้งแต่ปี 2017) ซึ่งหากเป็นไปตามที่เหยี่ยวขาวรายนี้เปิดเผย แสดงว่าพวกเขายังคงเหลืองบอีกราวๆ 110 ล้านปอนด์ (หักค่าตัว ฟาน เดอ เบ็ค ออกไป 40 ล้านปอนด์)
110 ล้านปอนด์นี้เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง แน่นอนเป้าหมายแรกเลยคือ ซานโช่ ที่แฟนบอลทั่วโลกตะโกน (เกือบจะ) เป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเอามาให้ได้ รวมไปถึงบรรดากูรูจาก สกาย สปอร์ตส์ ที่ย้ำหลายรอบแล้วว่า 'ซัมเมอร์' นี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่ ผีแดง จะคว้าแข้งวัย 20 ปีมาครอง เนื่องจากปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆ ถือว่าครบสมบูรณ์ในตอนนี้ ทั้งการได้เล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมไปถึงไม่มีคู่แข่งในการแย่งชิง
แต่ ... อย่างที่เรียนไป ปัจจัยสำคัญที่มาเป็นอันดับ 1 คือเรื่องของการเงินเนื่องจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่อยากจ่ายในจำนวนเกิน 100 ล้านปอนด์ เพราะพวกเขายังมีเป้าหมายอื่นๆ ที่ต้องการเสริมไม่ว่าจะเป็นกองหลังตัวกลาง หรือ กองหน้าตัวเป้าที่เป็นตำแหน่งสำคัญที่ 'ควรจะ' ดึงมาเสริมอย่างมากไม่แพ้กันในหน้าร้อนนี้
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทีมงานของ เอ็ด วูดเวิร์ด และ แม็ตต์ จัดจ์ ต้องทำงานอย่างหนักทั้งเรื่องเสริมทัพและปล่อยนักเตะส่วน โดยเฉพาะกรณีหลังที่ต้องทำอย่างรวดเร็วและนำเงินมาหมุนเวียนให้ได้ก่อนที่ฤดูกาลจะเปิดตัว เพราะหากซีซั่นใหม่เริ่มต้นไปแล้ว (บุนเดสลีกา เริ่มเกมแรกตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน) การเจรจาหลายๆ อย่างจะทำได้ยากกว่าเดิม
ดังนั้นช่วงเวลา 10 วันต่อจากนี้ หากว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการดึง ซานโช่ (หรือว่าใครก็ตามมาร่วมทีม) พวกเขาต้องเร่งการเจรจาและสร้างความชัดเจนให้มากกว่าที่ผ่านมา
อย่างที่เรียนไป จุดอ่อนสำคัญของ วูดเวิร์ด และทีมงานคือการดำเนินงานที่ล่าช้า ต่างจากสโมสรอื่นๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาช่วยงาน โดยเฉพาะ เชลซี ที่นำโดยหญิงเก่ง 'มารีน่า กรานอฟสคาย่า' ซึ่งสร้างผลงานอันเอกอุในซัมเมอร์นี้
การเสริมทีมของ สิงโตน้ำเงินคราม มีเป้าหมายที่ชัดเจนและตรงตามจุดที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องการ โดยเฉพาะแนวรุกที่จัดการเสริมใหม่เกือบยกแผงทั้ง ทิโม แวร์เนอร์, ฮาคิม ซีเย็ค และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ หรือแม้แต่แนวรับที่ดึงทั้ง เบน ชิลล์เวลล์ มาเสริมทางซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งที่ แลมพาร์ด พยายามมองหามาตลอด รวมไปถึง ติอาโก้ ซิลวา ที่จะเข้ามาเติมความเก๋าให้กับทีม
แม้ตำแหน่งสำคัญอย่างผู้รักษาประตูยังคงไม่ได้รับการแก้ไขหรือการประกาศที่ชัดเจน แต่ด้วยการดำเนินงานของ มารีน่า บวกกับเงินทุนที่สะสมไว้หลังจากไม่ได้ใช้เมื่อหน้าร้อนปีที่ผ่านมา ทำให้เชื่อได้ว่าสาวก เดอะ บลูส์ อาจจะได้เห็นนักเตะใหม่ (อีกราย) ในเร็วๆ นี้
ไม่เพียงแค่ เชลซี ที่เสริมทีมถึงครึ่งโหล แม้กระทั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้จัดการกลบจุดที่หายไปทั้งกองหลังและตัวแทน ดาบิด ซิลบา ด้วยการดึง นาธาน อาเค่ กับ เฟร์ราน ตอร์เรส มาเสริม ถึงจะมีเพียง 2 ราย แต่พะยี่ห้อ 'เรือใบสีฟ้า' เชื่อว่าคงมีมาเสริมอีกแน่นอน
กระทั่ง อาร์เซน่อล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่เดินหน้าเสริมทีมอย่างต่อเนื่อง หรือแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ที่อาจจะเสริมทีมเพียงจุดเดียว (คอสตาส ซิมิคาส) แต่นั่นมาจากสาเหตุที่ว่าทีมที่พวกเขามีนั้นดีอยู่แล้ว
ต่างจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องเสริมทีมอีกอย่างน้อย 2-3 เพราะทีมที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สามารถยืนระยะได้ยาวนานโดยเฉพาะในกรณีตัวสำรองที่ยังไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้ และที่สำคัญคือการเพิ่มการแข่งขันในทีมให้สูงกว่าที่ผ่านมา
ย้อนกลับมาในกรณี เจดอน ซานโช่ ชัดเจนว่า 'หาก' ปีกทีมชาติอังกฤษได้ลงเอยย้ายมาเล่นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด มันอาจจะเป็นการปิดโอกาสในการลงสนามของ เมสัน กรีนวูด อย่างต่อเนื่อง แต่หากมองในอีกมุมมันคือการเพิ่มการแข่งขันในทีมให้เข้มข้นขึ้นกว่าที่ผ่านมาโดยเฉพาะแนวรุก ซึ่งมันจะเป็นตัวชี้วัดว่านักเตะในทีมมีความกระหายและอยากพัฒนาหรือพิสูจน์ตนเองเพื่อการลงเล่นเป็นตัวจริงมากเพียงใด และที่สำคัญเป็นโอกาสที่ได้เห็นทัศนคติของนักเตะในทีมว่าพร้อมแข่งขันเพื่อทีมแล้วหรือไม่ ...
... โดยส่วนตัวมองนอกเหนือจากรณี ซานโช่ ว่าจุดที่จำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้คือกองหน้าแบบ 'โป้งปิดบัญชี' แม้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล จะทำผลงานได้ดีในตำแหน่งตัวเป้า แต่ยังขอย้ำคำเดิมว่ากองหน้าชาวฝรั่งเศสยังคงขาดความเฉียบคมในจังหวะที่ 'ต้อง' เป็นประตูหรือจังหวะ 'ตัดสิน' ซึ่งไม่ต่างจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ทิ้งโอกาสสำคัญหลายๆ ครั้ง
โอเค ไม่เถียงว่าทั้งนักเตะสองรายมีสถิติการทำประตูและแอสซิสต์ที่ดีในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา แต่หากวัดกันที่โอกาสที่ควรจะเป็นประตู 'ถ้า' พวกเขามี 'ความเฉียบคม' มากกว่านี้ดีไม่ดีอาจจะแตะหลัก 30 ประตูได้แบบสบายๆ
ม้านั่งสำรองอาจจะมี โอเดียน อีกาโล่ แต่ก็อย่างที่เห็นในช่วงหลังว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จับกองหน้าไนจีเรียดองเค็มข้างสนาม และกว่าจะมีโอกาสลงสนามก็เหลือเวลาพิสูจน์ผลงานไม่กี่นาที
ทั้งจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไม ปิศาจแดง ต้องการกองหน้าตัวปิดบัญชีมาเสริมอีก 1 ราย เพราะนอกจากจะดึงมาแข่งขันกับ มาร์กซิยาล ให้มีแรงกระตุ้นมากกว่าที่ผ่านมา มันยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับฤดูกาลที่จะลงสนามแบบถี่ยิบและต่อเนื่องแบบไม่มีโอกาสหายใจหายคอได้คล่อง
อีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญคือปราการหลังตัวกลางที่ต้องหามาเสริม เพราะอย่างที่เป็นไปแล้วการจับคู่ระหว่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ยังมีช่องโหว่และแสดงความผิดพลาดให้เห็นบ่อยครั้ง
จุดนี้มีปัจจัยในเรื่องของการปล่อยส่วนเกินออกไปก่อนเพราะตอนนี้ทีมมีผู้เล่นในตำแหน่งดังกล่าวถึง 8 ราย ดังนั้นชื่อของ สมอลลิ่ง, ฟิล โจนส์ และ มาร์กอส โรโฮ อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกปล่อยไปก่อน หรือแม้แต่ ทิม โฟซู-เมนซาห์ และ แอ๊กเซล ตวนเซเบ้ ที่อาจจะอยู่ในข่ายพิจารณาเช่นกัน เพื่อให้ทีมหาเงินทุนและลดค่าแรงในทีมลงมา
ส่วนนักเตะที่น่าจะเหมาะสม แน่นอนตอนนี้ชื่อของ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กำลังมาแรง ซึ่งแฟนผีแดงหลายๆ คนต่างยกมือสนับสนุน กระนั้นปัญหาสำคัญคงไม่ต่างจากกรณีอื่นๆ นั่นคือเรื่องของ 'เงิน' และส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือการเดินหน้าพยายามมัดใจ แอร์เบ ไลป์ซิก ให้ยอมปล่อยแนวรับรายนี้ออกมาให้ได้
หากรอไปถึงซัมเมอร์หน้า การแข่งขันแย่งตัวจะสูงและบรรดาทีมใหญ่ไม่ว่าจะเป็น บาเยิร์น มิวนิค มหาอำนาจบอลเยอรมนี หรือแม้แต่บรรดายักษ์ใหญ่ของ สเปน, อังกฤษ, อิตาลี และ ฝรั่งเศส ที่พร้อมลงสนามดึงแนวรับชาวฝรั่งเศสไปครอง ...
ถึงตรงนี้เหลือเวลาอีก 1 เดือนก่อนที่ตลาดซื้อขายจะปิดตัวลงในวันที่ 5 ตุลาคม
เวลากำลังกระชั้นขึ้นมาทุกขณะ และในฐานะแฟนบอลก็คงทำได้เพียงรอคอยพร้อมกับหวังว่าจะมีนักเตะรายใหม่เข้ามาเสริมมากกว่าเดิม
เพราะที่ผ่านมาสโมสรทั้งในตัวกุนซือหรือฝ่ายบริหารพยายามพูดมาตลอดว่าทีมมีความทะเยอทะยานและพร้อมกลับไปยังจุดสูงสุดอีกครั้ง กระนั้นการเสริมทีมในช่วงที่ผ่านมาที่มีแต่ความล่าช้า ทำให้บรรดาแฟนบอลไม่สบอารมณ์พร้อมเกิดต่ออาการต่อต้าน
อย่างที่เรียนไป เพียงรายเดียวคงไม่พอที่จะทำให้ทีมไปได้ไกลกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาหรือไปยังเป้าหมายที่ทีมวางไว้ เพราะอย่าลืมว่าคู่แข่งแต่ละทีมเสริมทัพได้กลัว และหาก ปิศาจแดง มัวแต่ช้า และพลาดเป้าหมายสำคัญ ก็อาจจะส่งผลกับการแข่งขันฤดูกาลหน้าที่ทวีความเข้มข้นสูงกว่าเดิม
จะมัวไปหวังแต่ผลงานของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส รายเดียวหรือการเรียกเอาจุดโทษในทุกๆ เกมก็คงไม่ไหว เพราะหากกองกลางชาวโปรตุเกสเจ็บไป (ซึ่งแฟนบอลไม่อยากให้เกิดขึ้น) ความบรรลัยถามหาแน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่ทีมงานต้องทำโดยเร็วที่สุดคือสร้างความมั่นใจและเปลี่ยนบรรยากาศรอบๆ สโมสรให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อนที่ฤดูกาลจะเริ่มต้นหรือก่อนเกมแรกของฤดูกาลที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะลงสนามในวันที่ 19 กันยายนนี้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT